ผมต้องการแบ่งปันว่าพระกิตติคุณมีความหมายต่อตัวผมเองอย่างไร นี่เป็นการเดินทางที่ได้รับผลกระทบจากโซโลมอนและการแสวงหาความสุขและสติปัญญาอย่างสุดหัวใจของเขา สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจส่วนตัวเกี่ยวกับบทความในเว็บไซต์นี้ได้ดีขึ้น (อ้อ และข้อมูลพื้นฐาน … ผมชื่อแร็กนาร์ โอบอร์น – ชาวสวีเดน – ผมอาศัยอยู่ที่แคนาดา ผมแต่งงานแล้วและมีลูกชายหนึ่งคน ผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต มหาวิทยาลัยนิวบรันสวิก และมหาวิทยาลัยอคาเดีย)
ความร้อนรนใจในเยาวชนที่มีสิทธิพิเศษ
ผมเกิดในครอบครัวที่มีอาชีพชนชั้นกลางจนไปถึงค่อนข้างสูง มีพื้นเพมาจากสวีเดน เราอพยพมาอยู่ที่แคนาดาเมื่อตอนที่ผมยังเด็ก จากนั้นผมก็เติบโตขึ้นมาในขณะที่อาศัยอยู่ต่างประเทศในหลายประเทศ – แอลจีเรีย เยอรมนี และแคเมอรูน ในที่สุดผมก็กลับไปแคนาดาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ผมต้องการ (และยังคงต้องการ) ที่จะมีประสบการณ์ชีวิตที่สมบูรณ์เหมือนกับคนอื่นๆเขา ซึ่งคนๆหนึ่งแสดงลักษณะตัวตนจากความพอใจ ความรู้สึกสงบ ความหมายและจุดประสงค์ รวมถึงความหมายของความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย
การใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ศาสนา และชีวิตทางโลกที่แตกต่างกันเหล่านี้ และการเป็นนักอ่านตัวยงทำให้ผมได้สัมผัสกับแนวคิดต่างๆ มากมายเกี่ยวกับ ‘ความจริง’ และความหมายของ ‘ชีวิตที่สมบูรณ์’ ผมสังเกตเห็นว่าผม (และส่วนใหญ่ในตะวันตก) มีความมั่งคั่ง เทคโนโลยี และโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ความขัดแย้งก็คือชีวิตที่สมบูรณ์นี้ดูเหมือนจะเข้าใจยาก
ผมสังเกตเห็นว่าความสัมพันธ์เป็นแบบไม่เอาใจใส่และชั่วคราวมีมากกว่าความสัมพันธ์ของคนรุ่นก่อน คำศัพท์เช่น ‘rat race’ ที่ใช้บอกเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของพวกเรา (rat race หมายความถึงการใช้ชีวิตในการแข่งขันเพื่อนำตนเองไปสู่ความร่ำรวยและอำนาจที่เหนือกว่าผู้อื่นหรือตนเองในปัจจุบัน) มีคนบอกผมว่าถ้าเราสามารถ’มีเพิ่มได้อีกนิด’จะนำเราไปถึงเส้นชัยแล้ว แต่อีกเท่าไหร่กัน? แล้วอะไรอีกล่ะ? เงิน? ความรู้ทางวิทยาศาสตร์? เทคโนโลยี? หรือความพึงพอใจ?
มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
ในตอนที่ผมยังเป็นหนุ่ม ผมรู้สึกกังวลใจซึ่งน่าจะคำอธิบายได้ดีที่สุดว่าเป็นอาการกระวนกระวายใจที่คลุมเครือ พ่อของผมเป็นวิศวกรที่ให้คำปรึกษาแก่ชาวต่างชาติในแอฟริกา ดังนั้นผมจึ’ได้มีโอกาสออกไปเที่ยวกับวัยรุ่นชาวตะวันตกที่ร่ำรวย มีสิทธิพิเศษ และมีการศึกษา แต่ชีวิตที่นั่นค่อนข้างเรียบง่ายและไม่มีอะไรสนุกๆให้เราทำเลย ดังนั้นผมและเพื่อนๆจึงใฝ่ฝันที่จะกลับไปประเทศบ้านเกิดของเอง และเพลิดเพลินไปกับการดูทีวี อาหารอร่อยๆ โอกาสต่างๆ และการใช้ชีวิตแบบตะวันตกที่สะดวกสบาย นั้นแหละคือสิ่งที่จะทำให้พวกเรา ‘พอใจ’
แต่เมื่อผมไปเที่ยวแคนาดาหรือยุโรป หลังจากความตื่นเต้นเล็กน้อย ความร้อนรนก็กลับมาอีก และที่แย่กว่านั้นคือผมสังเกตเห็นว่าผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับความร้อนรนนี้ตลอดเวลา อะไรก็ตามที่พวกเขามี (ในหลายๆแง่) ก็จะต้องมีความต้องการที่มากขึ้นเสมอ ผมคิดว่าผมจะหา ‘มัน’ เมื่อผมมีแฟนสาวที่เป็นที่รู้จัก และชั่วขณะหนึ่ง สิ่งนี้ดูเหมือนจะเติมเต็มบางอย่างในตัวผม แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนความร้อนรนก็จะกลับมา ผมคิดว่าเมื่อผมออกจากโรงเรียนมัธยมแล้วผมจะ ‘ถึงเส้นชัย’ แต่เมื่อถึงเวลาที่ผมจะสอบได้ใบขับขี่และได้รับอิสรภาพ – การค้นหาของผมก็จะสิ้นสุดลง
ตอนนี้ผมมีอายุที่มากขึ้น ผมได้ยินคนพูดถึงการเกษียณอายุว่าเป็นตั๋วไปสู่ความพึงพอใจ แต่นั้นมันจริงหรือ? เราใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อไล่ตามสิ่งอื่นต่อไปเรื่อยๆหลังจากบรรลุสิ่งหนึ่งแล้ว? เราเอาแต่คิดว่าสิ่งต่อไปที่จะมอบความพอใจให้เรา และจากนั้น … ชีวิตของเราก็จะจบลงแล้วงั้นหรือ? มันดูไร้ประโยชน์มาก!
ภูมิปัญญาของโซโลมอน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา งานเขียนของโซโลมอนมีผลกระทบต่อผมเป็นอย่างมาก โซโลมอน (950 ก่อน ส.ศ.) กษัตริย์แห่งอิสราเอลโบราณที่มีชื่อเสียงด้านความฉลาด ได้เขียนหนังสือหลายเล่มในคัมภีร์ไบเบิล. ในหนังสือปัญญาจารย์ (หรือชื่อภาษาอังกฤษ Ecclesiastes) เขากล่าวถึงความร้อนรนใจแบบเดียวที่ผมเคยพบเจอมา
ผู้ชายที่มีทุกอย่าง…
เขาเขียน:
2 ข้าพเจ้าคิดในใจว่า “เอาล่ะ เราจะทดลองเจ้าด้วยความสนุกสนาน เพื่อดูว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งดีบ้าง” แต่ก็พิสูจน์เห็นแล้วว่า มันไร้ค่าเช่นกัน 2 ข้าพเจ้าเห็นว่า การหัวเราะเป็นเรื่องโง่เขลา และความสนุกสนานเล่า มันสร้างความสำเร็จอย่างใดบ้าง 3 ข้าพเจ้าพยายามหาความสำราญใจให้แก่ตนเองด้วยเหล้าองุ่น และฉวยเอาความโง่เขลา ถึงกระนั้นสติปัญญาก็ยังเป็นฝ่ายนำในความคิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าใคร่จะดูว่า เวลาอันสั้นในช่วงชีวิตมนุษย์นั้น มีอะไรดีๆ ที่พวกเขาจะกระทำในโลกได้บ้าง 4 ข้าพเจ้ากระทำหลายสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าสร้างบ้านหลายหลัง และปลูกสวนองุ่นเอง 5 ข้าพเจ้าปลูกสวนพืชและไร่ผลไม้นานาชนิด 6 ข้าพเจ้าขุดบ่อไว้ใช้รดน้ำต้นไม้ที่กำลังงอกงามในสวน 7 ข้าพเจ้าซื้อทาสทั้งชายและหญิง และทาสที่เกิดในบ้านของข้าพเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นอีกด้วย ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของฝูงโคและแพะแกะมากมาย มากกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนหน้าข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม 8 ข้าพเจ้าสะสมเงินและทองคำจำนวนมหาศาล และสมบัติจากบรรดากษัตริย์และอาณาจักรไว้ด้วย ข้าพเจ้ามีนักร้องชายและหญิง และภรรยาน้อยหลายคน ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรดาผู้ชายนิยมชมชอบ
9 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงยิ่งใหญ่และเหนือกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนหน้าข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม และสติปัญญาของข้าพเจ้าก็อยู่กับข้าพเจ้าด้วย 10 ไม่มีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าอยากได้ แล้วจะไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ได้ละเว้นจากสิ่งที่ให้ความสุขใจ ดังนั้นข้าพเจ้ายินดีกับการงานทุกอย่างที่ทำ และนี่คือรางวัลของข้าพเจ้าซึ่งได้มาจากการทำงานทั้งสิ้น
ปัญญาจารย์ 2:1-10
ความร่ำรวย ชื่อเสียง ความรู้ การงาน ผู้หญิง ความสุข อาณาจักร อาชีพ ไวน์… โซโลมอนมีทุกอย่าง – และเขามีทุกอย่างมากกว่าทั้งคนในสมัยเขาและสมัยเรา เขามีทั้งความฉลาดของไอน์สไตน์ ความร่ำรวยของบิล เกตส์ ชีวิตทางสังคม/ทางเพศของมิก แจ็กเกอร์ ตลอดจนสายเลือดของเชื้อพระวงศ์เช่นเดียวกับเจ้าชายวิลเลียมในราชวงศ์อังกฤษ ทั้งหมดนี้ถูกมัดรวมกันไว้ในคนๆเดียว ใครกันที่จะสามารถเอาชนะเขาผู้มีทั้งหมดเหล่านี้ได้? คุณคงคิดว่าโซโลมอนหรือผู้ที่มีทุกสิ่งนี้จะมีความพอใจ แต่เขาสรุปไว้ว่า:
แต่ทุกข์ระทมจนแทบบ้าคลั่ง
1 ถ้อยคำของปัญญาจารย์บุตรของกษัตริย์ดาวิดแห่งเยรูซาเล็ม คือ
2 ปัญญาจารย์กล่าวว่า ไร้ค่าที่สุด
ไร้ค่าที่สุด ทุกสิ่งไร้ค่าทั้งสิ้น
3 มนุษย์ได้รับประโยชน์อะไรจากการลงแรง
ตรากตรำกับงานทุกอย่างที่เขาทำในโลกนี้
4 แต่ละยุคล่วงไป ยุคแล้วยุคเล่า
แต่โลกคงอยู่ตลอดไป
5 ดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตก
และรีบไปยังที่ๆ มันขึ้นมา
6 ลมพัดไปทางทิศใต้
และหมุนวนไปทางทิศเหนือ
ลมพัดวนไปเวียนมา
และวนกลับมาอีก
7 ลำธารทุกสายไหลลงสู่ทะเล
แต่ทะเลก็ไม่เคยเต็ม
น้ำตกลงสู่จุดกำเนิดของลำธาร
แล้วก็ไหลออกไปจากที่นั่นอีก
8 ทุกสิ่งดูน่าอ่อนล้ายิ่งนัก
จนมนุษย์ไม่อาจพรรณนาได้
ที่นัยน์ตาของเราเห็นนั้นยังไม่พอ
และที่ได้ยินนั้นก็ยังไม่เต็มอิ่ม
9 อะไรที่เคยเป็นก็จะเป็นอีก
และสิ่งที่กระทำกันมาแล้ว ก็จะกระทำกันอีก
คือไม่มีอะไรแปลกใหม่ในโลกนี้
10 มีสิ่งใดบ้างที่คนจะอ้างได้ว่า
“ดูสิ นี่เป็นสิ่งแปลกใหม่”
เพราะมันมีอยู่นานแล้ว
ตั้งแต่ยุคก่อนหน้าเราเสียอีก
11 ไม่มีใครระลึกถึงคนที่มีชีวิตในอดีต
และแม้แต่บรรดาคนรุ่นต่อไป
ก็จะไม่เป็นที่ระลึกถึงในบรรดา
ผู้ที่มาภายหลังอีกเช่นกัน
12 ข้าพเจ้าปัญญาจารย์ผู้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลในเยรูซาเล็ม 13 และข้าพเจ้าตั้งใจใช้สติปัญญาในการเสาะหาและค้นคว้าทุกสิ่งที่เป็นไปในโลกนี้ ซึ่งนับว่าเป็นภาระหนักที่พระเจ้าได้มอบให้แก่บรรดาบุตรของมนุษย์ 14 ข้าพเจ้าได้เห็นทุกสิ่งที่เป็นไปในโลก ดูเถิด สิ่งทั้งปวงล้วนไร้ค่าและเป็นการไล่คว้าลม
ปัญญาจารย์ 1:1-14
ชีวิต… ความโง่เขลาและการไล่ตามสายลม
11 ฉะนั้นข้าพเจ้านึกถึงทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติด้วยมือข้าพเจ้า และการงานที่ข้าพเจ้าลงแรงตรากตรำ ดูเถิด ทุกสิ่งช่างไร้ค่า และเป็นการไล่คว้าลม และไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ในโลกนี้
12 ข้าพเจ้าจึงนึกถึงเรื่องสติปัญญา ความขาดสติยั้งคิด และความโง่เขลา คนที่มาภายหลังกษัตริย์ในอดีตจะทำอะไรอีกได้ นอกจากจะทำสิ่งที่ท่านได้ปฏิบัติกันมาแล้ว 13 ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าสติปัญญาดีกว่าความโง่เขลา เช่นเดียวกับความสว่างที่ดีกว่าความมืด 14 ผู้มีสติปัญญาสามารถรู้เห็นวิถีทางของตน แต่คนโง่เขลาเดินในความมืด และข้าพเจ้าทราบว่าทุกคนต้องเผชิญสิ่งที่เหมือนๆ กัน 15 ข้าพเจ้าจึงคิดในใจว่า “อะไรที่เกิดกับคนโง่เขลาก็จะเกิดกับเราด้วย แล้วเราจะมีสติปัญญาเช่นนี้ไปทำไม” ข้าพเจ้าจึงคิดในใจว่า “นั่นก็ไร้ค่าเช่นกัน” 16 เพราะไม่ว่าจะเป็นคนเรืองปัญญา หรือเป็นคนโง่เขลาก็ตาม ไม่มีใครระลึกถึงพวกเขาได้นาน ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกคนจะถูกลืมในบั้นปลาย คนเรืองปัญญาและคนโง่เขลาก็ต้องตายเหมือนกัน 17 ข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกทำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจ เพราะทุกสิ่งไร้ค่า และเป็นการไล่คว้าลม
18 ข้าพเจ้าเกลียดงานตรากตรำทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าได้กระทำในโลกนี้ เมื่อเห็นว่าข้าพเจ้าต้องทิ้งทุกสิ่งไว้ให้แก่คนที่จะมาภายหลังข้าพเจ้า 19 และใครจะทราบได้ว่า เขาจะเป็นคนมีสติปัญญาหรือเป็นคนโง่เขลา แต่เขาก็ยังจะเป็นเจ้าของทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าลงแรงตรากตรำและใช้สติปัญญาของข้าพเจ้าในโลกนี้ นี่ก็ไร้ค่าเช่นกัน 20 ข้าพเจ้าจึงสิ้นหวังในงานตรากตรำทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าลงแรงไปแล้วในโลกนี้ 21 เพราะว่าคนที่ได้ลงแรงตรากตรำด้วยสติปัญญา ความรู้ และความชำนาญ ต้องทิ้งทุกสิ่งไว้ให้แก่คนที่ไม่ได้ลงแรงตรากตรำได้ใช้อย่างมีความสุข นี่ก็ไร้ค่าและไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง 22 คนที่ลงแรงตรากตรำคร่ำเคร่งกับงานทุกชนิดได้รับผลอะไรจากสิ่งที่เขากระทำในโลกนี้บ้าง 23 เพราะตลอดชีวิตของเขาเต็มด้วยความเจ็บปวด และการงานของเขาสร้างความกังวล แม้แต่ยามค่ำคืน จิตใจของเขาก็ยังไม่หยุดพัก นี่ก็ไร้ค่าเช่นกัน
ปัญญาจารย์ 2:11-23
โซโลมอนพยายามทำทุกอย่าง ‘ภายใต้ตะวัน’
ไม่ค่อยจะมีความสุข! ในบทกวีเรื่องหนึ่งของเขาThe Song of Songs (หรือบทเพลงโซโลมอน) เขาบันทึกเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ที่เขากำลังมี นี่จะเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะให้ความพึงพอใจตลอดชีวิตมากที่สุด แต่สุดท้ายความรักก็ไม่ได้ทำให้เขาพอใจ
ไม่ว่าผมจะมองไปทางไหน ทั้งในหมู่เพื่อนหรือในสังคม ดูเหมือนว่าการแสวงหาชีวิตที่สมบูรณ์ของโซโลมอนเป็นสิ่งที่ทุกคนพยายามตามหา แต่เขาบอกผมแล้วว่าเขาเองไม่พบความพอใจในเส้นทางเหล่านั้น ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่าผมเองก็จะไม่พบความพอใจในเส้นทางเหล่านั้นเช่นกัน และจะต้องมองหาเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนเดินไปมากนัก
นอกจากปัญหาเหล่านี้แล้ว ผมยังรู้สึกกังวลกับอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิต ซึ่งมันก็ทำให้โซโลมอนลำบากใจเช่นกัน
19 เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรดาบุตรของมนุษย์และบรรดาสัตว์ ต่างก็เหมือนกัน มนุษย์ตายไป สัตว์ก็ตายเหมือนกัน ต่างก็มีลมหายใจเหมือนกัน และมนุษย์ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าสัตว์ เพราะทุกสิ่งไร้ค่า 20 ทุกสิ่งจบลงสู่ที่เดียวกัน ต่างมาจากธุลีดินและต่างก็กลับลงสู่ธุลีดินอีก 21 ใครจะทราบได้ว่าวิญญาณมนุษย์ขึ้นไปสู่เบื้องบน และวิญญาณสัตว์ลงไปสู่โลกเบื้องล่าง
ปัญญาจารย์ 3:19-21
วู้ดดี้ อัลเลน และ โซโลมอน
ความตายเป็นสิ่งสุดท้ายและมีอำนาจเหนือเราทุกคนโดยสมบูรณ์ ดังที่โซโลมอนกล่าวไว้ว่า มันคือชะตากรรมของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ดี เคร่งศาสนาหรือไม่ก็ตาม วู้ดดี้ อัลเลน กำกับและเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง You Will Meet A Tall Dark Stranger เป็นเรื่องราวการมองความตายที่ตลกและจริงจัง ในการสัมภาษณ์เทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ (Cannes Flim Festival) วู้ดดี้เปิดเผยความคิดของเขาเกี่ยวกับความตายด้วยอารมณ์ขันของเขาที่เป็นที่รู้จักดี
“ความสัมพันธ์ของผมกับความตายยังคงเหมือนเดิม – ผมต่อต้านมันอย่างมาก สิ่งที่ผมทำได้คือรอมันเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่คนเราจะแก่ตัวลง – ไม่ฉลาดขึ้น ไม่รอบรู้ขึ้น ไม่อ่อนโยนขึ้น ไม่ได้รับความกรุณามากขึ้น – ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่คุณจะปวดหลังมากขึ้น อาหารย่อยยากขึ้น สายตาแย่ลง และคุณอาจต้องการเครื่องช่วยฟัง มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ที่จะแก่ตัวลง เพราะฉะนั้นผมแนะนำว่าอย่าแก่ลงเลยหากคุณสามารถหลีกเลี่ยงมันได้” [1]
จากนั้นเขาสรุปว่าเราควรเผชิญกับชีวิตอย่างไรเมื่อความตายหลีกเลี่ยงไม่ได้
“คนเราต้องมีภาพลวงตาจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ หากคุณมองชีวิตอย่างซื่อตรงเกินไปและชัดเจนเกินไป ชีวิตจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ทนทานเพราะมันเป็นองค์กรที่ค่อนข้างน่ากลัว นี่คือมุมมองของผมและเป็นมุมมองของชีวิตผมเสมอมา – ผมมีมุมมองที่น่ากลัวและมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวกับมันมาก… ผมรู้สึกว่า [ชีวิต] เป็นประสบการณ์ที่น่ากลัว เจ็บปวด เหมือนฝันร้าย และไม่มีความหมาย และหนทางเดียวที่คุณจะทำได้เพื่อมีความสุขคือ การที่คุณโกหกและหลอกตัวเอง”
เราจะเลือกเส้นทางที่สัตย์จริงของโซโลมอนเพื่อพ้นจากความสิ้นหวังและไร้ประโยชน์ หรือเลือกเส้นทางของวู้ดดี้ อัลเลน และ’บอกคำโกหกและหลอกลวงกับตัวเอง’ เพื่อจะได้มีชีวิตที่มีความสุจภายใต้ภาพหลอกลวงนี้! แต่เส้นทางของทั้งคู่ดูไม่น่าดึงดูดใจนัก เพราะการเชื่อมโยงกับความตายคือคำถามแห่งนิรันดร์ว่า มีสรรค์อยู่จริงหรือไม่ หรือ (ที่น่าตกใจไปกว่านั้น) มีสถานที่แห่งการพิพากษานิรันดร์ หรือที่เรียกว่านรกจริงๆหรือ
ในปีสุดท้ายของชั้นมัธยมปลาย ผมได้รับมอบหมายให้รวบรวมวรรณกรรมหนึ่งร้อยชิ้น (บทกวี เพลง เรื่องสั้น ฯลฯ) ซึ่งคอลเลกชันส่วนใหญ่ของผมพูดถึงปัญหาเหล่านี้ มันทำให้ผมได้ ‘พบ’ และได้ยินคนอื่น ๆ อีกมากมายที่กำลังมีคำถามเดียวกันนี้ และผมก็ได้พบกับพวกเขาที่มาจากทุกยุคสมัย ภูมิหลังทางการศึกษา ปรัชญาในการดำเนินชีวิต และจากประเภทต่างๆ
พระกิตติคุณพร้อมที่จะพิจารณา
ผมรวมถึงคำพูดที่รู้จักกันดีบางคำของพระเยซูที่บันทึกไว้ในพระกิตติคุณในพระคัมภีร์เช่น:
10 ขโมยมาเพื่อลักขโมย ฆ่าและทำลายเท่านั้น เรามาเพื่อให้คนเหล่านั้นมีชีวิตและมีอย่างอุดมสมบูรณ์
ยอห์น 10:10
มันทำให้ฉันรู้ว่า บางที แค่บางที นี่อาจเป็นคำตอบสำหรับคำถามที่ผมถามมาตลอด ท้ายที่สุดแล้วพระกิตติคุณ (ซึ่งมีความหมายไม่มากก็น้อยในทางศาสนา) มีความหมายตามตรงว่า ‘ข่าวดี’ แต่พระกิตติคุณเป็นข่าวดีจริงหรือ? หรือเป็นเพียงคำบอกเล่า? เพื่อให้คำตอบว่าผมรู้ว่าผมต้องเส้นไปในเส้นทางมั้งสองเส้นนี้
การเดินทางของพระกิตติคุณ
อันดับแรก ผมต้องเริ่มพัฒนาความเข้าใจ เกี่ยวกับพระกิตติคุณ อันดับที่สอง เนื่องจากอาศัยอยู่ในวัฒนธรรมทางศาสนาที่แตกต่างกัน ผมได้พบกับผู้คนและได้อ่านงานของนักเขียนที่คัดค้านและมีแนวคิดต่อต้านพระกิตติคุณในพระคัมภีร์ไบเบิลมากมาย คนเหล่านี้มีความรู้และฉลาด ผมจำเป็นต้องคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับพระกิตติคุณ โดยไม่ต้องเป็นเพียงนักวิจารณ์ที่ไร้เหตุผลหรือผู้เชื่อที่ไร้ความคิด
มีความรู้สึกที่แท้จริงว่าเมื่อคนๆ หนึ่งเริ่มต้นการเดินทางแบบนี้ คนๆ นั้นจะไม่มีทางไปถึงเส้นชัยได้ทั้งหมด แต่ผมได้เรียนรู้ว่าพระกิตติคุณให้คำตอบสำหรับประเด็นเหล่านี้ที่โซโลมอนหยิบยกขึ้นมา ประเด็นทั้งหมดคือการพูดถึงสิ่งเหล่านี้ – ชีวิตที่สมบูรณ์ ความตาย นิรันดร และข้อกังวลในทางปฏิบัติ เช่น ความรักในความสัมพันธ์ของคนครอบครัว ความรู้สึกผิด ความกลัว และการให้อภัย คำกล่าวอ้างของพระกิตติคุณคือเป็นรากฐานที่เราสามารถสร้างชีวิตของเราได้ บางคนอาจไม่ชอบคำตอบที่ได้รับจากพระกิตติคุณ บางคนอาจไม่เห็นด้วย หรือเชื่อ แต่เนื่องจากมันตอบคำถามที่แสนจะมนุษย์เหล่านี้ มันคงจะไม่ใช่สิ่งที่ฉลากนักถ้าหากจะยังไม่รับรู้ข้อมูลเหล่านี้
ผมได้เรียนรู้ด้วยว่าบางครั้งพระกิตติคุณทำให้ผมรู้สึกค่อนข้างอึดอัดใจ มีเวลาที่สิ่งยั่วยวนใจเรามากมายให้ยอมง่ายๆ พระกิตติคุณท้าทายหัวใจ ความคิด จิตวิญญาณ และพละกำลังของผม แม้ว่ามันจะให้ชีวิต แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากคุณใช้เวลาพิจารณาพระกิตติคุณ คุณอาจพบสิ่งเดียวกัน จุดเริ่มต้นที่ดีคือการอ่านประโยคสำคัญที่สรุปข่าวสารของพระกิตติคุณ