Skip to content
Home » ภาพลักษณ์ของพระเจ้า

ภาพลักษณ์ของพระเจ้า

พระทองคำ เมืองปากเซ สปป.ลาว

หนึ่งในข้อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าคือ พระปฏิจจสมุปบาท ( สันสกฤต : प्रतीत्यसमुत्पाद, บาลี : paṭicchasamuppāda ) สิ่งนี้ระบุปรากฏการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นจากเหตุการณ์อื่นที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ สิ่งที่เราสามารถสังเกตเห็นได้นั้นเกิดจากสาเหตุก่อนหน้า ความเข้าใจนี้ครอบคลุมในอริยสัจ 4 เพื่ออธิบายกรรมและสังสารวัฏ 

เราสามารถใช้ความเข้าใจของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตัวเราโดยใช้คุณลักษณะทั่วไปในเอเชีย ให้เราลองนึกถึงพระพุทธรูปที่สวยงามจำนวนหนึ่งที่สร้างขึ้นทั่วอาณาจักร

เราสังเกตเห็นอะไรได้บ้างจากรูปปั้นงานศิลปะสวยๆ เหล่านี้ ที่ไม่ว่าจะเป็นงานประติมากรรมหินหรืองานโลหะสำริดก็ตาม

พระพุทธรูปสะท้อนถึงความหลากหลาย

ด้วยความใหญ่ของขนาดและอายุที่ยาวนานแสดงให้เห็นว่า พระพุทธรูปเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความรู้ด้านวิศวกรรมและทักษะด้านโลหะวิทยาที่ยอดเยี่ยม ผู้ที่สร้างรูปปั้นเหล่านี้เป็นทั้งวิศวกรที่มีความรู้ด้านเทคนิคและศิลปิน

นอกจากนี้เรายังเห็นว่าพระพุทธรูปมีมุทรา หรือที่เรียกว่าท่วงท่าหรือท่าทางของมือสื่อข้อความเชิงสัญลักษณ์ กลุ่มศิลปินและช่างฝีมือที่สร้างรูปปั้นเหล่านี้ได้สื่อความหมายถึงผู้ที่ชื่นชมผลงานเหล่านี้ ผู้ที่มาชมพระพุทธรูปสามาถรับรู้และเข้าใจพระอิริยาบถเหล่านี้ ทั้งผู้สร้างแลผู้ชมมีสัญชาตญาณที่้เสมอกันและสามารถเข้าใจในข้อความโดยใช้สัญลักษณ์ได้โดยธรรมชาติ

ท่าทาง Mudra
ท่าทางมุทรา หรือ พระอิริยาบถ

เรายังสังเกตเห็นได้อีกว่าความงามทางศิลปะของพวกเขาดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกเพียงแค่เข้ามารับชมและชื่นชมผลงานเหล่านี้ แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้สร้างรูปปั้นเหล่านี้แต่ยังคงพบว่ามันน่าสนใจ บางคนแค่ชื่นชมความสำเร็จทางศิลปะและเทคนิค ในขณะที่บางคนพยายามทำความเข้าใจอย่างลึกซึ่งถึงความหมายของมุทรา

บางคนมาเพื่อการนับถือศาสนาด้วย เนื่องจากรูปปั้นเหล่านี้เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า จึงทำให้เกิดความเคารพและยำเกรง แม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้าก็ตาม

จึงเกิดเป็นคำถามเกี่ยวกับมนุษยชาติ…

เราสามารถสังเกตทั้งหมดนี้ในตัวขอ’รูปปั้นเอง ในการเฝ้าดูผู้อื่นที่มาชื่นชมรูปปั้นเหล่านั้น และแม้แต่ในตัวเราเอง พระปฏิจจสมุปบาทตรัสว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดจากกรรมแต่กาลก่อน เกิดคำถามว่า เหตุการณ์ต่อไปนี้มาจากไหน?

  • สัญชาตญาณของมนุษย์ในการสร้างงานศิลปะ (พระพุทธรูป) และให้คุณค่ากับงานศิลปะ (พวกเราที่เคารพบูชา)
  • ความสามารถของมนุษย์ในการมุ่งเน้นไปที่การสร้างโครงสร้าง (รูปปั้นเหล่านี้) ที่ต้องใช้ความเข้าใจทางเทคนิคเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ
  • ความสามารถที่มีมาแต่กำเนิดในการเข้าใจ ส่ง และรับข้อความเชิงสัญลักษณ์ดังที่เห็นมุทราของรูปปั้นเหล่านี้
  • ความสามารถโดยกำเนิดของรูปปั้นเหล่านี้ทำให้เกิดความเคารพในหัวใจ จิตวิญญาณ และความคิดของผู้ศรัทธาจำนวนมาก

มีสาเหตุใดเกิดขึ้นในหมู่คนเหล่านี้ ที่ทำให้ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง? สิ่งนี้เป็นจริงในทุกวัฒนธรรม ตลอดจนประวัติศาสตร์ ทั่วทั้งโลก ทุกเพศ และในทุกภาษา มนุษย์แสดงลักษณะเหล่านี้ที่คล้ายคลึงกันเสมอมา สิ่งเหล่านี้มันเกินกว่าความพยายามเพียงเพื่อเอาชีวิตรอดหรือหาทางพ้นทุกข์ไปก็เท่านั้น ในประเทศทางตะวันตก มีคำอธิบายพื้นฐานที่เกี่ยวกับกระบวนการวิวัฒนาการตามธรรมชาติที่ยากต่อการอธิบายในเชิงคุณสมบัติทางศิลปะและความลึกลับในตัวผู้คน ในขณะเดียวกันประเทศทางตะวันออก คำอธิบายเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากการเพิกเฉยและความไม่รู้ เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นกันมา ซึ่งก็เป็นการยากในการอธิบายคุณสมบัติเหล่านี้เช่นเดียวกัน

…คำตอบจากพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูโบราณ

งานเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกบางส่วนได้ให้คำอธิบายง่ายๆ เกี่ยวกับคุณลักษณะของมนุษย์ที่สังเกตได้เหล่านี้ พวกเขาอธิบายว่าเหตุใดคุณจึงมาที่นี่และเพื่อจุดประสงค์ใด งานเขียนเหล่านี้ถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในภาษาที่เก่าแก่กว่าทั้งภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ต้นกำเนิดของพวกมันเทียบได้กับภาษาจีนในแง่ของอายุ ชนชาติที่ไม่เหมือนใครอย่างชาวฮีบรู ได้ผลิตและเก็บรักษางานเขียนเหล่านี้ไว้ด้วยกัน และก่อเกิดเป็นเรื่องราวมหากาพย์ 

คอลเลกชันของงานเขียนนี้ได้รับการจัดกลุ่มเข้าด้วยกันเป็นหนังสือที่เป็นที่รู้จักซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่าพระคัมภีร์ไบเบิล พระคัมภีร์เริ่มต้นมหากาพย์อย่างไร? และมันทำให้รู้ว่าคุณเป็นใครได้อย่างไร? พระคัมภีร์เริ่มต้นด้วย:

ในปฐมกาล พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก

ปฐมกาล 1:1

ไม่กี่ประโยคต่อมา พระคัมภีร์กล่าวว่า:

26 ครั้นแล้วพระเจ้าก็กล่าวว่า “เรามาสร้างมนุษย์[a]ตามภาพลักษณ์ของเรากันเถิด ให้มีคุณลักษณะเหมือนเรา และให้พวกเขาควบคุมดูแลปลาในท้องทะเล นกในอากาศ และสัตว์เลี้ยง รวมทั้งควบคุมทั่วทั้งแผ่นดินโลกและบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานบนพื้นดิน”

27 ฉะนั้น พระเจ้าจึงสร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระองค์

    พระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า

    พระองค์ได้สร้างทั้งชายและหญิง[b]

ปฐมกาล 1:26-27

“ตามพระฉายาของพระเจ้า”

พระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ชาติ ‘ตามพระฉายาของพระเจ้า’ มีหมายความว่าอย่างไร? พระเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสองแขน มีหนึ่งศีรษะ ฯลฯ แต่ในความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น มันหมายความว่าลักษณะพื้นฐานของคนเราเกิดขึ้นจากลักษณะที่มีความคล้ายคลึงกันของพระเจ้า กล่าวโดยย่อคือใช้หลักปฏิจจสมุปบาทมาสู่ตัวเรา ตัวอย่างเช่น ทั้งพระผู้สร้าง (ในพระคัมภีร์) และผู้คน (จากการสังเกต) มีสติปัญญา อารมณ์ และเจตจำนง คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาถึงพระเจ้าว่าเศร้า เจ็บปวด โกรธ หรือมีความสุข ซึ่งเป็นช่วงของอารมณ์ความรู้สึกเดียวกับที่เราเป็นมนุษย์ เราเลือกและตัดสินใจในแต่ละวัน ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าในพระคัมภีร์ทำการเลือกและตัดสินใจ ความสามารถของเราในการให้เหตุผลและการคิดเชิงนามธรรมมาจากพระเจ้า เรามีความสามารถในด้านสติปัญญา อารมณ์ และเจตจำนง เพราะพระเจ้าทรงมี และพระองค์ทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์

ปฏิจจสมุปบาท

ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เรารับรู้ว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตระหนักรู้ในตนเองและสำนึกใน ‘ฉัน’ และ ‘คุณ’ เราไม่ได้ไร้ตัวตน ‘ของมัน’ พระคัมภีร์สอนว่าเราเป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าทรงเป็นบุคคลและเราถูกสร้างตามพระฉายาของพระองค์

การตื่นขึ้นของศิลปินในตัวเรา

นอกจากนี้ เรายังมีความสร้างสรรค์และชื่นชมงานศิลปะโดยกำเนิด เช่น พระพุทธรูปที่กล่าวมาข้างต้น ผู้คนชื่นชมและต้องการความงามโดยธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่เราชื่นชมศิลปะในรูปปั้น เราก็ชื่นชมโลกที่สวยงามของเราเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นภูเขาตระหง่าน อาทิตย์อัสดง หรือสีสันของดอกบัว คัมภีร์ไบเบิลประกาศว่าพระเจ้าในฐานะผู้สร้างโลก ทรงสร้างภูเขา พระอาทิตย์และดอกบัว พระองค์ทรงทำให้มันใช้งานได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นศิลปะที่สวยงาม เราชื่นชมศิลปะนี้เพราะเราสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า เรายังสร้างงานศิลปะ เช่น พระพุทธรูป เพราะเรามีความสามารถตามธรรมชาติที่พระองค์มี อันเป็นผลจากการถูกสร้างตามรูปลักษณ์ของพระองค์ สิ่งนี้เป็นมากกว่าแค่ทัศนศิลป์ รวมถึงดนตรีและวรรณกรรม รวมถึงศิลปะแขนงอื่นๆ ลองนึกถึงความสำคัญของดนตรีสำหรับเรา หรือแม้แต่ความรักในการเต้นของเรา ดนตรีทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น เราชอบเรื่องราวดีๆ ไม่ว่าจะเป็นในนวนิยายหรือละครหรือที่แพร่หลายในปัจจุบันในภาพยนตร์ เรื่องราวมีทั้งฮีโร่ ตัวร้าย ดราม่า และเรื่องราวดีๆฝังลึกฮีโร่ ตัวร้าย และดราม่าเหล่านี้ในจินตนาการของเรา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะเสพและชื่นชมศิลปะในรูปแบบต่างๆ เราให้ความบันเทิง เติมพลัง และฟื้นฟูตัวเองด้วยงานศิลปะ เพราะพระเจ้าทรงเป็นศิลปิน และเราอยู่ในพระฉายาของพระองค์

มันเป็นคำถามที่ควรค่าแกการถามว่า ทำไมพวกเราถึงมีความสุนทรีย์ในความงามตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทางศิลปะ ละคร ดนตรี เต้นรำ หรือทางด้านวรรณกรรม แดเนียล เด็นเน้ตต์ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าและผู้มีอำนาจในการทำความเข้าใจกระบวนการทางปัญญา ได้ให้คำตอบจากมุมมองวัตถุนิยมใว้ว่า:

“งานวิจัยส่วนใหญ่ยังคงไม่เห็นค่าของดนตรี ไม่ค่อยมีใครถามว่า: ทำไมดนตรีถึงมีอยู่? มีเพียงคำตอบสั้น ๆ และมันก็เป็นความจริง ตราบใดที่มันยังเป็นอยู่ มันมีอยู่เพราะเรารักมัน และด้วยเหตุนี้เราจึงทำให้มันมีอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทำไมเราถึงรักมัน? เพราะเราว่ามันไพเราะ แต่ทำไมมันเป็นสิ่งที่สวยงามสำหรับเรา? นี่เป็นคำถามทางชีววิทยาที่ดีอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบที่ดี”

แดเนียล เดนเน็ตต์. 2549 ทำลายมนต์สะกด: ศาสนาเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หน้า 43

มุมมองวัตถุนิยมที่มีต่อมนุษย์ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ จากมุมมองของพระคัมภีร์ เป็นเพราะพระเจ้าทรงเป็นศิลปะและสุนทรียะ เขาทำสิ่งที่สวยงามและเพลิดเพลินกับความงาม คุณซึ่งถูกสร้างตามพระฉายาของพระองค์ก็เหมือนกัน

ความงามในคณิตศาสตร์

การเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความงามทางสุนทรียะคือคณิตศาสตร์ รูปแบบจากอัตราส่วนทางเรขาคณิตทำให้เกิดเศษส่วนและรูปทรงอื่นๆ ที่เราเห็นว่าสวยงามและสง่างามทางคณิตศาสตร์ ดูวิดีโอนี้อธิบายความสง่างามของชุดแมนเดลบรอต และถามคำถามว่าเหตุใดแนวคิดที่เป็นนามธรรม เช่น ตัวเลข จึงดูเหมือนควบคุมพฤติกรรมของจักรวาล และเหตุใดเราจึงชื่นชมความงามของมัน

ทำไมเราถึงมีศีลธรรม

นอกจากนี้ การ ‘ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า’ ยังอธิบายถึงความสามารถทางศีลธรรมตามธรรมชาติของเราซึ่งมีอยู่ทั่วไปในทุกวัฒนธรรม เราเห็นได้ชัดในอริยมรรคมีองค์๘  พระเจ้าผู้ทรงสร้างมีความห่วงใยอย่างยิ่งเกี่ยวกับความดีและความยุติธรรม ดังนั้น เช่นเดียวกับเข็มทิศที่มุ่งตรงไปยังทิศเหนือแม่เหล็ก แนวของเราที่ ‘ยุติธรรม’ ‘ดี’ และ ‘ถูกต้อง’ จะเป็นไปตามแนวของพระองค์ ไม่ใช่แค่คนเคร่งศาสนาเท่านั้นที่ถูกสร้างมาในลักษณะนี้ – ทุกคนก็เป็นเช่นกัน การไม่รู้จักสิ่งนี้อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ยกตัวอย่างความท้าทายนี้จาก แซม แฮร์ริส นักวัตถุนิยมชาวอเมริกัน

“ถ้าคุณมีสิทธิ์ที่จะเชื่อว่าความเชื่อทางศาสนาเป็นเพียงพื้นฐานที่แท้จริงสำหรับศีลธรรม ดังนั้นผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็ควรมีศีลธรรมน้อยกว่าผู้ที่เชื่อ”

แซม แฮร์ริส. 2548. จดหมายถึงประเทศคริสเตียน. หน้า 38-39

ที่แฮร์ริสกล่าวไว้นั้นไม่ถูกต้อง  การสำนึกในศีลธรรมของเรามาจากภาพลักษณ์ของพระเจ้าในตัวเรา ไม่ใช่จากการนับถือศาสนา นี่คือเหตุผลที่พวกอเทวนิยมเช่นเดียวกับพวกเราที่เหลือทั้งหมด มีความรู้สึกทางศีลธรรมและสามารถประพฤติตนในทางศีลธรรมได้ ความยากของอเทวนิยมคือการอธิบายว่าทำไมเราถึงมีศีลธรรม อย่างไรก็ตาม การถูกสร้างขึ้นตามภาพลักษณ์ทางศีลธรรมของพระเจ้านั้นให้คำอธิบายที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา

ทำไมเราถึงสัมพันธ์กัน

ตามพระคัมภีร์แล้ว จุดเริ่มต้นในการรู้จักตนเองมาจากการตระหนักว่าสถานะของเราเป็นผู้ถือภาพลักษณ์ของพระเจ้า ดังนั้น การได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพระเจ้า (ผ่านพระคัมภีร์) หรือผู้คน (ผ่านการสังเกต) ก็ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอีกสิ่งหนึ่งเช่นกัน ตัวอย่างเช่น พิจารณาความสำคัญที่ผู้คนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ การได้ดูหนังดีๆ สักเรื่องนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่การดูกับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวจะเป็นประสบการณ์ที่ดีกว่ามาก เรามักจะมองหาเพื่อนที่จะแบ่งปันประสบการณ์ด้วย มิตรภาพที่มีความหมายและความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นกุญแจสู่ความเป็นอยู่ที่ดีของเรา ในทางกลับกัน ความเหงาและ/หรือความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ร้าวฉานและการแตกหักในมิตรภาพมักจะทำให้เราเครียด เราไม่เป็นกลางและไม่หวั่นไหวต่อสถานะของความสัมพันธ์ที่เรามีกับผู้อื่น

พระเจ้าผู้สร้างคือความรัก

ตอนนี้ หากเราอยู่ในพระฉายาของพระเจ้า เราก็คาดหวังที่จะพบการเน้นความสัมพันธ์แบบเดียวกันนี้กับพระเจ้า ในความเป็นจริงเราทำ พระคัมภีร์กล่าวว่า:

8 ใครก็ตามที่ไม่มีความรักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าคือความรัก

1 ยอห์น 4:8

พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับความสำคัญที่พระเจ้ามอบให้กับความรักที่เรามีต่อพระองค์และความรักที่เรามีต่อผู้อื่นไว้อย่างมากมาย อันที่จริง พระเยซูสอนว่าการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทั้งสองนี้เป็นคำสั่งที่สำคัญที่สุดสองข้อในพระคัมภีร์ เมื่อลองคิดดู ความรักจะต้องมีความสัมพันธ์กัน เพราะต้องมีคนที่รัก (คนรัก) และอีกคนที่เป็นเป้าหมายของความรักนี้ (คนที่รัก)

ดังนั้นเราควรคิดว่าพระเจ้าผู้สร้างเป็นคนรัก หากเราคิดแต่เพียงว่าพระองค์เป็น ‘ผู้นำสำคัญ’, ‘สาเหตุแรก’, ‘เทพผู้รอบรู้’, ‘สิ่งมีชีวิตที่มีเมตตา’ หรือบางทีอาจเป็น ‘จิตสำนึกของพระพุทธเจ้า’ เราไม่ได้นึกถึงพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิล แม้ว่าพระองค์จะเป็นชื่อที่กล่าวถึงข้างต้น แต่พระคัมภีร์ก็พรรณนาถึงพระองค์ว่าเกือบจะหลงใหลในความสัมพันธ์ เขาไม่ได้ ‘มี’ ความรัก แต่อย่างใด เขา ‘เป็น’ ความรัก ภาพความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับผู้คนที่โดดเด่นที่สุดในพระคัมภีร์สองภาพคือความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก และสามีกับภรรยา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การเปรียบเทียบ ‘สาเหตุแรก’ ในเชิงปรัชญา แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและใกล้ชิดที่สุดของมนุษย์

สร้างบนพื้นฐานของฮิบรู

นี่คือรากฐานที่เราวางไว้จนถึงตอนนี้ ผู้คนถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า ซึ่งประกอบด้วยความคิด อารมณ์ และเจตจำนง เรามีความรู้สึกและตระหนักรู้ในตนเอง ผู้คนเป็นสัตว์ที่มีศีลธรรมด้วย ‘ไวยากรณ์ทางศีลธรรม’ ของเรา (moral grammar) ทำให้เรามีการวางแนวที่ ‘ถูกต้อง’ และ ‘ยุติธรรม’ โดยกำเนิด เรามีความสามารถโดยสัญชาตญาณในการพัฒนาและชื่นชมความงาม การละคร ศิลปะ และเรื่องราวในทุกรูปแบบ นอกจากนี้เรายังแสวงหาและพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยธรรมชาติ คุณมีคุณสมบัติเหล่านี้เพราะพระเจ้าหล่อหลอมพวกมัน และคุณถูกสร้างขึ้นตามรูปลักษณ์ของพระองค์

พระพุทธรูปมีค่าและน่าสนใจมากเพราะเป็นรูปพระพุทธเจ้า มูลค่าที่แท้จริงของรูปภาพนั้นมาจากส่วนประกอบของรูปภาพ ภาพของส้มไม่มีค่ามากนักเนื่องจากมีความธรรมดา แต่ผู้คนเคารพบูชาพระพุทธรูปเพราะพระพุทธเจ้ามีเอกลักษณ์และมีค่า ดังนั้น พระพุทธรูปจึงมีค่ามากกว่ารูปปั้นของผู้อื่น เพราะพระพุทธเจ้ามีค่ามากกว่าองค์อื่นโดยเนื้อแท้

ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากคุณอยู่ในพระฉายาของพระเจ้า (ไม่ใช่พระฉายาอื่น) คุณจึงมีคุณค่ามหาศาล คุณมีค่าและศักดิ์ศรีโดยไม่เกี่ยวกับความมั่งคั่ง อายุ การศึกษา สถานะทางสังคม ภาษา และเพศของคุณ เพียงเพราะคุณ ‘อยู่ในพระฉายาของพระเจ้า’ พระเจ้าทรงทราบเรื่องนี้และทรงต้องการให้คุณตระหนักในเรื่องนี้เช่นกัน

แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุใดโลกทั้งของคุณและของผมจึงเต็มไปด้วยวัฏสงสารและความตายไม่รู้จบ เรื่องราว ในพระคัมภีร์ยังคงอธิบายต่อไปว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *