ท่านทะไลลามะยังคงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่สำคัญที่สุดของชาวพุทธในทิเบต ผู้นับถือถือว่าท่านเป็นร่างอวตารของพระอวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตา ท่านทะไลลามะองค์ที่ 14 และองค์ปัจจุบันคือเทนซิน เกียตโซซึ่งอาศัยเป็นผู้ลี้ภัยในอินเดีย ท่านกลายเป็นหนึ่งในผู้นำทางศาสนาที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกในปัจจุบัน ท่านสนับสนุนการไม่ใช้ความรุนแรงและค่านิยมสากลอย่างมีสเน่ห์ จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1989
ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ ทะไลลามะทำหน้าที่ปรึกษากับนักทำนาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันปีใหม่ของชาวทิเบต “เทพพยากรณ์” หมายถึงเมื่อวิญญาณเข้าสู่ชายหรือหญิง จากนั้นเทพพยากรณ์จะสามารถทำนายเชิงพยากรณ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำนายอนาคต เราทุกคนต้องการมีความสามารถนี้เมื่อเรามองไปยังปีข้างหน้า ทะไลลามะปรึกษาเทพพยากรณ์เนชุงในช่วงโลซาร์หรือช่วงเทศกาลปีใหม่ของทิเบตทะไลลามะยังปรึกษากับเทพพยากรณ์เท็นมะซึ่งเป็นหญิงสาวชาวทิเบตผู้เป็นสื่อกลางสำหรับเทพีภูเขาสิบสององค์
รู้อนาคต: พลังสำคัญของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
การรู้อนาคตนั้นเกินความสามารถของคนเรา เราทราบดีว่าการทำนายอนาคตยังคงเป็นจุดเด่นของจิตวิญญาณ เพราะมนุษย์ไม่มีการมองการณ์ไกลเช่นนี้ สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทำไมแม้แต่ทะไลลามะเองก็ปรึกษาร่างทรงเนชุง คำทำนายนี้อ้างว่าจะมองเห็นอนาคตเมื่อวิญญาณเข้าสิงเขาเท่านั้น และภายในปีที่จะมาถึงเท่านั้น
เราสามารถใช้ความสามารถในการพยากรณ์นี้เพื่อแยกข่าวสารที่เป็นเพียงมนุษย์ออกจากข่าวสารที่มาจากวิญญาณ ในบรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความสามารถในการคาดการณ์อนาคต ผู้เผยพระวจนะชาวฮีบรูโบราณมีความโดดเด่นด้วยระยะเวลาอันยาวนานที่พวกเขาสามารถมองเห็นภายหน้าอนาคตได้ พวกเขาคาดการณ์ไม่เพียงแค่เพียงปีถัดมาเท่านั้น แต่ยังมองไปข้างหน้าอีกหลายพันปีในอนาคต ศาสดาพยากรณ์เหล่านี้มองข้ามสมัยของเราไปจนถึงจุดจบของประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ โดยพวกเขาอ้างว่าได้รับคำพยากรณ์จากพระเจ้าผู้สร้าง นี่คือเหตุผลที่พวกเขาสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้จากประวัติศาสตร์อันยาวนานไปจนถึงจุดสิ้นสุดของเวลา ดูวิธีที่พระเจ้าผู้สร้างอ้างว่าตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะ:
8 เราคือพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นชื่อของเรา
อิสยาห์ 42:8-9
เราจะไม่มอบบารมีของเราให้แก่ผู้ใด
ไม่มอบคำสรรเสริญของเราให้แก่รูปเคารพสลักใดๆ
9 ดูเถิด เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาได้เกิดขึ้นแล้ว
และบัดนี้เราประกาศให้รู้ถึงเรื่องใหม่ๆ
เราบอกให้พวกเจ้ารู้
ก่อนที่จะเกิดขึ้น”
6 พระผู้เป็นเจ้ากษัตริย์แห่งอิสราเอล และผู้ไถ่ของเขา
อิสยาห์ 44:6-8
พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้
“เราเป็นเบื้องต้น และเราเป็นเบื้องปลาย
และไม่มีพระเจ้านอกจากเรา
7 ใครบ้างที่เป็นเหมือนเรา ให้เขาป่าวประกาศ
ให้เขาประกาศและชี้แจงให้เห็น ณ เบื้องหน้าเราว่า
ได้เกิดอะไรขึ้นตั้งแต่เราได้สถาปนาชนชาติโบราณ
และอะไรที่จะมาถึง
และให้พวกเขาบอกล่วงหน้าว่า อะไรจะเกิดขึ้น
8 อย่ากลัวหรือหวาดหวั่นเลย
เราเคยบอกเจ้าตั้งแต่กาลก่อน และประกาศเรื่องนี้แล้วมิใช่หรือ
พวกเจ้าเป็นพยานของเรา
มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเราหรือ
ไม่มีศิลาอื่นใด เรารู้ว่าไม่มีเลย”
เราสามารถทดสอบการอ้างสิทธิ์เช่นนี้และยืนยันหรือหักล้างคำพยากรณ์ของพวกเขาได้ แต่ในการทำเช่นนี้ เราต้องรู้ข้อเท็จจริงพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับพระคัมภีร์เสียก่อน
พระคัมภีร์ – ที่จริงๆแล้วเหมือนห้องสมุด
พระคัมภีร์เป็นชุดหนังสือที่เขียนโดยผู้เผยพระวจนะและนักประพันธ์หลายคน หนังสือเหล่านี้ต้องใช้เวลามากกว่า 1,500 ปีในการเขียนตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งนี้ทำให้พระคัมภีร์เป็นเหมือนห้องสมุดมากกว่า และทำให้แตกต่างจากหนังสือที่ดีๆเล่ม อื่น ถ้าผู้เผยพระวจนะคนเดียวหรือกลุ่มที่รู้จักกันเขียนหนังสือพระคัมภีร์ เราคงไม่แปลกใจในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ประวัติศาสตร์หลายร้อยหรือหลายพันปีได้แยกผู้เขียนพระคัมภีร์แต่ละคนออกจากกัน นักเขียนเหล่านี้มาจากประเทศ ภาษา และตำแหน่งทางสังคมที่แตกต่างกัน แต่ข้อความและการคาดคะเนของพวกเขาสอดคล้องกัน สร้างธีมที่เป็นหนึ่งเดียว นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้นอกพระคัมภีร์อีกด้วย
พันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่
หนังสือของพระคัมภีร์แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก พันธสัญญาเดิมเขียนเป็นภาษาฮีบรูดั้งเดิม มีหนังสือ 39 เล่มครอบคลุมตั้งแต่ต้นประวัติศาสตร์จนถึงประมาณ 400 ปีก่อนคริสตศักราช สำเนาพระคัมภีร์เก่าที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอยู่ในปัจจุบันมีอายุตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตศักราช พวกเขารู้จักกันในชื่อ Dead Sea Scrolls หรือม้วนหนังสือทะเลตาย ( ดูรายละเอียดที่นี่ ) พันธสัญญาใหม่ประกอบด้วยหนังสือ 27 เล่มที่เขียนขึ้นระหว่างคริสตศักราช 40-90 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับบุคคลของพระเยซู นักวิชาการลงวันที่สำเนาพันธสัญญาใหม่ที่มีอยู่โดยเริ่มตั้งแต่คริสตศักราช 125 บทความนี้จะอธิบายประวัติต้นฉบับของพระคัมภีร์อย่างละเอียดมากขึ้น แต่ไทม์ไลน์นี้ให้ภาพรวม:
งานเขียนในพันธสัญญาเดิมสร้างคำทำนายเฉพาะเจาะจงมากมายที่มองไปในอนาคต สิ่งนี้ทำให้มันเป็นวรรณกรรมที่ไม่ธรรมดา เหมือนกับการล็อคประตู แม่กุญแจมีรูปร่างบางอย่างเพื่อให้เฉพาะ ‘กุญแจ’ ที่ตรงกับแม่กุญแจเท่านั้นที่สามารถปลดล็อกได้ ในทำนองเดียวกัน พันธสัญญาเดิมทำหน้าที่เหมือนแม่กุญแจ จากการคาดการณ์เฉพาะเจาะจงบางเหตุการณ์ในอนาคตเท่านั้นที่สามารถปลดล็อกได้ เราเห็นสิ่งนี้ในการเริ่มต้นของอาดัมการเสียสละของอับราฮัมและเทศกาลปัสกาของโมเสส
คำทำนายของผู้ที่มาจากพระแม่
หลังจากโมเสส (1,500 ปีก่อนคริสตศักราช) คำพยากรณ์มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่กุญแจปลอมจะพอดีกับ ‘แม่กุญแจ’ พิจารณาคำพยากรณ์หนึ่งจากอิสยาห์ (750 ก่อนคริสตศักราช):
14 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้บ่งบอกเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ท่านเห็น ดูเถิด พรหมจาริณีผู้หนึ่งจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่ง และจะตั้งชื่อบุตรว่า อิมมานูเอล 15 ท่านจะรับประทานโยเกิร์ตและน้ำผึ้งในเวลาที่ท่านรู้จักปฏิเสธความชั่ว และเลือกความดี
อิสยาห์ 7:14-15
ที่นี่เราเห็นคำทำนายที่เฉพาะเจาะจงซึ่งมองไปข้างหน้าอย่างชัดเจนมาก มันทำนายสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ นั้นคือ: หญิงพรหมจรรย์จะมีลูกชาย สิ่งนี้เขียนขึ้นประมาณ 750 ปีก่อนคริสตศักราช
‘กุญแจ’ เพียงดอกเดียวที่เหมาะกับ ‘แม่กุญแจ ‘ นี้
ในบรรดาผู้คนทั้งหมดในประวัติศาสตร์ รวมถึงตำนานต่างๆ ทั่วโลก มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่อ้างว่าเกิดจากหญิงพรหมจารี คนนี้คือพระเยซูแห่งซาเร็ธ พระกิตติคุณในพันธสัญญาใหม่ระบุว่ามารีย์มารดาของพระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์เมื่อให้กำเนิดพระองค์ นี่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวเทศกาลคริสต์มาส
คำทำนายของอิสยาห์ทำให้ชัดเจนว่าปริศนาในตอนต้นของประวัติศาสตร์มนุษย์บอกใบ้อะไรเท่านั้น ในเวลานั้น พระเจ้าผู้สร้างได้ตรัสว่า ‘หญิง’ คนหนึ่งจะมีลูกหลานโดยไม่ระบุว่ามีผู้ชายมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย นี่เป็นตัวอย่างว่าคำพยากรณ์สองคำที่ต่างกัน ซึ่งแต่ละคำเขียนห่างกันหลายร้อยปีโดยผู้เขียนที่แตกต่างกันและสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ช่วยเสริมซึ่งกันและกันและทำนายเหตุการณ์เดียวกันได้อย่างไร ราศีกันย์ซึ่งย้อนกลับไปไกลที่สุดเท่าที่เราจะสามารถติดตามได้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ก็จำคำสัญญาเดียวกันนี้ได้เช่นกัน
อิมมานูเอลกินนมเปรี้ยวและน้ำผึ้ง
คำพยากรณ์ของอิสยาห์ได้เพิ่มรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่ระบุไว้ในตอนต้น ประกาศว่าจะเรียกบุตรชายของหญิงพรหมจารีว่า ‘อิมมานูเอล’ ชื่อนี้มีความหมายว่า ‘พระเจ้าอยู่กับเรา’ ลูกชายคนนี้จะเป็นร่างอวตารของเทพผู้สร้าง
อิสยาห์ยังทำนายด้วยว่าตั้งแต่ตอนที่ลูกชายคนนี้ ‘กินนมเปรี้ยวและน้ำผึ้ง’ (กินตอนที่เพิ่งเริ่มกินอาหารแข็งได้) เขาจะ ‘ปฏิเสธสิ่งที่ผิดและเลือกสิ่งที่ถูกต้อง’ ดังนั้น ลูกชายคนนี้ ตั้งแต่อายุยังน้อย ตลอดชีวิตของเขาโดยไม่มีข้อยกเว้น จะ ‘ปฏิเสธความผิดและเลือกสิ่งที่ถูกต้อง’ ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่ทำบาปหรือก่อกรรมชั่ว
อานุภาพของผู้ไม่มีกรรม
พิจารณาพลังของทะไลลามะ ด้วยสมาธิอันแน่วแน่เป็นเวลาหลายปีจึงได้บุญมากเพื่อชดใช้กรรม ดังนั้นเขาจึงพัฒนามหาอำนาจนำประเทศเช่นทิเบตและกลายเป็นแบบอย่างให้กับโลก แล้วพลังจะเป็นเช่นไรสำหรับคนที่เป็นร่างจุติของเทพผู้สร้าง? และผู้ไม่เคยก่อกรรมชั่วเลย? ลองนึกดูว่าเขาจะมีพลังอะไร
เขาจะทำอย่างไรกับพลังเหล่านี้?
ผู้เผยพระวจนะชาวฮีบรูมองเห็นล่วงหน้าว่าเขาจะทำอะไรกับพลังของเขาและเขาจะอวยพรคุณและผมอย่างไร พวกเขาทำนายว่าลูกชายของหญิงพรหมจารีคนนี้จะนำอาณาจักรใหม่ อาณาจักรนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากอนิจจังและสังสารวัฏ จากนั้นพระองค์จะเชื้อเชิญให้เราเป็นพลเมืองของอาณาจักรนี้ เราตรวจสอบอาณาจักรของพระองค์ผ่านมุมมองของอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมาในประวัติศาสตร์ การพิชิตของเจงกีสข่านทั่วเอเชีย เริ่มจากมองโกเลีย เป็นบริบทที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการแนะนำอาณาจักรตามคำทำนายนี้ ซึ่งเราจะแนะนำมันต่อไปนี้