Skip to content
Home » การฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระเยซู: คือเรื่องจริงหรือนิยาย?

การฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระเยซู: คือเรื่องจริงหรือนิยาย?

ในยุคปัจจุบันที่มีการศึกษา บางครั้งเราตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อดั้งเดิม โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเป็นเพียงความเชื่อโชคลางที่ล้าสมัย พระคัมภีร์เล่าถึงเรื่องอัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อมากมาย แต่อาจเป็น เรื่องราวของ วันศุกร์ประเสริฐและผลแรกเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์หลังจากการตรึงกางเขนของพระองค์ดูเหมือนจะไม่น่าเชื่อที่สุด 

พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์หรือไม่?
John Singleton Copley , PD-US-หมดอายุ , ผ่าน Wikimedia Commons

มีหลักฐานเชิงตรรกะใดหรือไม่ที่สามารถอธิบายอย่างจริงจังเกี่ยวกับการคืนพระชนย์ชีพจากความตายของพระเยซู? เป็นที่น่าแปลกใจสำหรับหลาย ๆ คน มีกรณีที่มีการสนับสนุนที่หนักแน่นว่าการคืนพระชนม์ของพระเยซูสามารถเกิดขึ้นจริง และนี่มาจากการโต้แย้งตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในอดีต ซึ่งเป็นไปตามหลักฐานและเหตุผล ไม่ใช่ความเชื่อทางศาสนา

คำถามนี้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างรอบคอบเนื่องจากเป็นคำถามที่มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของเรา ท้ายที่สุดเราทุกคนจะต้องตาย ไม่ว่าเราจะบรรลุเป้าหมายทางการเงิน การศึกษา สุขภาพ และเป้าหมายอื่น ๆ ในชีวิตมากเพียงใด ถ้าพระเยซูเอาชนะความตายได้ ก็เท่ากับเป็นการให้ความหวังที่แท้จริงเมื่อเผชิญกับความตายที่ใกล้เข้ามาของเรา มาดูข้อมูลทางประวัติศาสตร์หลักและหลักฐานการคืนพระชนย์ของพระองค์กัน

ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเยซูทรงดำรงอยู่และสิ้นพระชนม์ในที่สาธารณะซึ่งได้เปลี่ยนแปลงวิถีแห่งประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่แน่นอน เราไม่จำเป็นต้องดูพระคัมภีร์เพื่อยืนยันสิ่งนั้น ประวัติศาสตร์ฆราวาสบันทึกการอ้างอิงถึงพระเยซูหลายครั้งและผลกระทบที่พระองค์สร้างต่อโลกในยุคของพระองค์

เราลองมาดูที่สองสิ่งนี้

ทาสิทัส: การอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ถึงพระเยซู

ทาสิทัสนักประวัติศาสตร์และผู้ปกครองชาวโรมันกล่าวถึงพระเยซูเมื่อบันทึกว่าจักรพรรดินีโรแห่งโรมันประหารชีวิตคริสเตียนในศตวรรษที่ 1 อย่างไร (ในคริสต์ศักราชที่ 65) นีโรกล่าวโทษชาวคริสต์ที่เผากรุงโรม จากนั้นจึงดำเนินการรณรงค์กำจัดพวกเขา นี่คือสิ่งที่ทาสิทัสเขียนในปีคริสต์ศักราชที่ 112:

‘นีโร.. ถูกลงโทษด้วยการทรมานที่ประณีตที่สุด บุคคลที่เรียกกันทั่วไปว่าคริสเตียน ผู้ซึ่งถูกเกลียดชังเพราะความร้ายกาจของพวกเขา พระคริสต์ผู้ก่อตั้งชื่อนี้ถูกปอนติอุส ปีลาต ผู้แทนของแคว้นยูเดียสังหารในรัชสมัยของไทเบอริอุสถึงแก่ความตาย แต่ความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่เป็นอันตราย ซึ่งถูกกดขี่มาระยะหนึ่งได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่เพียงผ่านแคว้นยูเดียซึ่งเป็นจุดกำเนิดของความชั่วร้าย แต่ผ่านกรุงโรมด้วย’

ทาสิทัส. พงศาวดาร XV 44
จักรพรรดินิโรแห่งโรมัน

ทาสิทัสยืนยันว่า:

  1. พระเยซูเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์
  2. เขาถูกประหารชีวิตโดยปอนเทียส ปีลาต;
  3. เมื่อถึงปี ค.ศ. 65 (เวลาของจักรพรรดินิโร) ความเชื่อของคริสเตียนได้แผ่ขยายไปทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจากแคว้นยูเดียไปยังกรุงโรม นอกจากนี้ มันแผ่ขยายด้วยกำลังที่จักรพรรดิแห่งโรมันรู้สึกว่าเขาต้องจัดการกับมัน

สังเกตว่าทาซิทัสกำลังพูดสิ่งเหล่านี้ในฐานะพยานฝ่ายปรปักษ์ เรารู้เรื่องนี้เพราะเขาระบุว่าการเคลื่อนไหวที่พระเยซูเริ่มต้นเป็น ‘ความเชื่อที่ชั่วร้าย’ เขาคัดค้านแต่ไม่ปฏิเสธประวัติศาสตร์ของมัน

โจเซพุส: การอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ถึงพระเยซู

โจเซพุสเป็นผู้นำทางทหาร / นักประวัติศาสตร์ชาวยิวในศตวรรษแรกที่เขียนถึงชาวโรมัน เขาสรุปประวัติศาสตร์ของชาวยิวตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสมัยของเขา ในการทำเช่นนั้น เขายังพูดถึงช่วงเวลาและอาชีพของพระเยซูด้วยคำพูดเหล่านี้: 

โจเซพุส

‘ในเวลานี้มีนักปราชญ์คนหนึ่ง … พระเยซู … ดี และ … มีคุณธรรม และคนเป็นอันมากจากพวกยิวและชนชาติอื่นมาเป็นสาวกของพระองค์ ปีลาตประณามพระองค์ให้ถูกตรึงที่กางเขนและสิ้นพระชนม์ และผู้ที่มาเป็นสาวกของพระองค์ก็มิได้ละทิ้งการเป็นสาวกของพระองค์ พวกเขารายงานว่าพระองค์ได้ปรากฏแก่พวกเขาสามวันหลังจากการตรึงกางเขนและพระองค์ยังมีชีวิตอยู่’

โจเซพุส. ศ. 90 โบราณวัตถุ xviii. 33

โจเซพุสยืนยันว่า:

  1. พระเยซูทรงดำรงอยู่
  2. พระองค์เป็นครูสอนศาสนา
  3. สาวกของพระองค์ประกาศต่อสถานรณะของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูจากความตาย 

ดูเหมือนว่าจากการมองย้อนกลับไปในอดีตว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเป็นเหตุการณ์ที่รู้จักกันดี นอก​จาก​นั้น พวกสาวกของพระองค์ได้ผลักดันการยืนยันของการกลับมาจากความตายของพระองค์ต่อสาธารนะในโลกกรีกโรมัน

ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์จากพระคัมภีร์

ลูกา แพทย์และนักประวัติศาสตร์ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าความเชื่อนี้ก้าวหน้าไปในโลกยุคโบราณได้อย่างไร นี่คือข้อความที่ตัดตอนมาจากหนังสือกิจการในพระคัมภีร์: 

พวกปุโรหิต นายทหารรักษาพระวิหาร และพวกสะดูสี[a]ได้เดินมาหาเปโตรและยอห์น ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนาอยู่กับหมู่ชน คนเหล่านั้นโกรธมาก เพราะพวกอัครทูตกำลังสั่งสอนคนทั้งปวง และประกาศว่าพระเยซูฟื้นคืนชีวิตจากความตาย เพราะเป็นเวลาเย็นแล้ว คนเหล่านั้นจึงจับตัวเปโตรและยอห์นขังไว้ในคุกจนวันรุ่งขึ้น แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อในสิ่งที่ทั้งสองประกาศ และทำให้จำนวนผู้ที่เชื่อเพิ่มเป็นประมาณ 5,000 คน

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นพวกที่อยู่ในระดับปกครอง พวกผู้ใหญ่ และพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติก็ประชุมกันในเมืองเยรูซาเล็ม อันนาสหัวหน้ามหาปุโรหิต คายาฟาส ยอห์น อเล็กซานเดอร์ และคนอื่นๆ ในครอบครัวของหัวหน้ามหาปุโรหิตก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาได้ให้คนนำเปโตรและยอห์นมายืนต่อหน้าเพื่อไต่ถามว่า “ท่านกระทำการนี้ด้วยอานุภาพหรือในนามของผู้ใด” ขณะนั้นเปโตรซึ่งเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “บรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองและหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของหมู่ชน ถ้าเราทั้งสองถูกเรียกตัวมาสอบถามในวันนี้ ด้วยเหตุที่เรามีใจช่วยเหลือคนง่อย และที่ท่านถามว่ารักษาเขาหายได้อย่างไร 10 พวกท่านและชาวอิสราเอลทั้งหลายจงรับรู้เถิดว่า ชายผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าท่านนี้ ได้รับการรักษาให้หายโดยพระนามของพระเยซูคริสต์แห่งเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งท่านได้ตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าบันดาลให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 11 พระองค์คือ ‘ศิลาที่พวกท่านซึ่งเป็นช่างก่อสร้างทิ้ง ได้กลายเป็นศิลามุมเอก’[b] 12 ความรอดพ้นจะมาจากใครอื่นไม่ได้เลย เพราะไม่มีชื่ออื่นใดใต้ฟ้าสวรรค์ ที่มนุษย์ใช้ร้องเรียกถึง แล้วจะรับความรอดพ้นได้”

13 เมื่อพวกเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรและยอห์น และทราบว่าทั้งสองเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้รับการศึกษาก็อัศจรรย์ใจ และสำนึกได้ว่าท่านทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู 14 เมื่อคนเหล่านั้นเห็นชายที่ได้รับการรักษาให้หายแล้วยืนอยู่กับเปโตรและยอห์นจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อไป 15 แต่สั่งให้ทั้งสองออกไปเสียจากศาสนสภา และปรึกษากันว่า 16 “เราควรจะทำอย่างไรกับคนทั้งสองนี้ เพราะชาวเมืองทุกคนในเมืองเยรูซาเล็มต่างรู้ว่า เขาได้แสดงสิ่งอัศจรรย์ที่โดดเด่นยิ่งสิ่งหนึ่ง และเราไม่สามารถปฏิเสธได้

กิจการ 4:1-16

17 ส่วนหัวหน้ามหาปุโรหิตและผู้ร่วมงานทุกคนของเขาซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคสะดูสีก็เกิดความอิจฉา 18 จึงจับตัวเหล่าอัครทูตขังไว้ในคุกหลวง 19 ตกกลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าได้เปิดประตูคุกและพาพวกเขาออกไป 20 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “จงไปยืนที่บริเวณพระวิหารเพื่อบอกผู้คนถึงเรื่องราวทั้งสิ้นในการดำเนินชีวิตใหม่นี้” 21 เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงได้เข้าไปสั่งสอนผู้คนในบริเวณพระวิหารตอนฟ้าสาง

ครั้นหัวหน้ามหาปุโรหิตและพวกร่วมงานของเขามาถึง ก็เรียกประชุมศาสนสภา คือคณะพวกผู้ใหญ่ของชาวอิสราเอลทั้งหมด และให้คนไปพาตัวเหล่าอัครทูตออกมาจากคุก 22 แต่เมื่อถึงคุกแล้ว พวกเจ้าหน้าที่กลับไม่พบใครเลย จึงได้กลับไปรายงานว่า 23 “พวกเราเห็นคุกยังคงปิดอยู่อย่างแข็งแรง และมียามยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูด้วย แต่เมื่อพวกเราเปิดประตู กลับไม่พบใครอยู่ข้างในเลย” 24 เมื่อหัวหน้านายทหารประจำพระวิหารและพวกมหาปุโรหิตได้ยินรายงานนั้นก็งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น 25 มีใครคนหนึ่งได้มายืนพลางพูดว่า “ดูสิ พวกที่ท่านจับเข้าคุกกำลังยืนสั่งสอนผู้คนอยู่ที่บริเวณพระวิหาร” 26 นายทหารพร้อมพวกเจ้าหน้าที่จึงพากันไปยังที่นั้น เพื่อนำเหล่าอัครทูตกลับมาโดยไม่ใช้กำลัง ด้วยเกรงจะถูกผู้คนเอาหินขว้างปา

27 คนที่ไปจับกุมอัครทูตได้นำพวกเขามายืนต่อหน้าศาสนสภา เพื่อให้หัวหน้ามหาปุโรหิตเป็นผู้ซักถาม 28 หัวหน้ามหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า “พวกเราออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดไม่ให้ท่านสั่งสอนในนามนี้ แต่พวกท่านยังสั่งสอนผู้คนทั่วทั้งเมืองเยรูซาเล็ม และต้องการให้เรารับผิดชอบกับความตายของชายคนนี้” 29 เปโตรและอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “พวกเราย่อมเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์ 30 พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราได้บันดาลให้พระเยซูฟื้นคืนชีวิตทั้งๆ ที่พวกท่านได้ประหารพระองค์ โดยตรึงบนไม้กางเขน 31 พระเจ้าได้เชิดชูพระเยซู ณ เบื้องขวาของพระองค์ในการเป็นผู้นำและองค์ผู้ช่วยให้รอดพ้น เพื่อจะให้ชนชาติอิสราเอลกลับใจ และโปรดที่จะยกโทษบาปให้ 32 พวกเราเป็นพยานในเรื่องเหล่านี้ได้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้แก่คนที่เชื่อฟังพระองค์ ก็เป็นพยานได้เช่นกัน”

33 เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินก็โกรธมากและต้องการจะฆ่าเหล่าอัครทูต 34 แต่ฟาริสี[a]ผู้หนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติซึ่งผู้คนทั้งหลายนับถือ ได้ยืนขึ้นในศาสนสภา สั่งให้พวกอัครทูตออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง 35 จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ชาวอิสราเอล จงพิจารณาดูให้ดีว่าท่านเจตนาจะทำอะไรกับคนพวกนี้ 36 ครั้งหนึ่ง ธุดาสปรากฏตนโดยอ้างว่าเป็นคนสำคัญ และมีคนติดตามประมาณ 400 คน เมื่อธุดาสถูกฆ่า ผู้ติดตามทั้งหมดก็กระจัดกระจายหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนไม่ก่อประโยชน์ใดๆ 37 หลังจากธุดาสแล้ว ก็มียูดาสชาวกาลิลีซึ่งปรากฏตัว และนำคนก่อการปฏิวัติขึ้นในครั้งที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว เมื่อเขาถูกฆ่า ผู้ติดตามทุกคนก็กระจัดกระจายไป 38 ฉะนั้นในกรณีนี้ ข้าพเจ้าขอแนะท่านว่า อย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลย ปล่อยเขาไปเถิด เพราะถ้าจุดประสงค์หรือการกระทำของเขาเริ่มมาจากมนุษย์แล้ว มันก็จะล้มเหลว 39 แต่ถ้าเป็นคำสั่งจากพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะไม่สามารถห้ามชายเหล่านี้ได้ ท่านจะเห็นว่าท่านกำลังต่อสู้กับพระเจ้า” 40 คำพูดของเขาสามารถเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้นได้ หลังจากที่ได้เรียกตัวพวกอัครทูตมาและโบยแล้ว ก็สั่งไม่ให้เขากล่าวสิ่งใดในพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยพวกเขาไป

กิจการของอัครทูต 5:17-40
อัครสาวกถูกจับกุม

เราจะเห็นว่าผู้มีอำนาจพยายามอย่างมากที่จะหยุดความเชื่อใหม่นี้ การโต้เถียงและการประหัตประหารเหล่านี้เกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม นี่เป็นเมืองเดียวกับที่พระเยซูถูกประหารชีวิตและถูกฝังในที่สาธารณะเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ 

จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์นี้ เราสามารถตรวจสอบการฟื้นคืนชีพได้โดยการชั่งน้ำหนักทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมด จากนั้นเราจะสามารถตัดสินใจได้ว่าสิ่งใดเหมาะสมที่สุด เราไม่จำเป็นต้องตัดสินด้วย ‘ความเชื่อ’ การฟื้นคืนชีพเหนือธรรมชาติใด ๆ

พระศพของพระเยซูและหลุมฝังศพ 

เรามีทางเลือกเพียงสองทางเกี่ยวกับพระศพของพระเยซูที่ถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ หลุมฝังศพว่างเปล่าในเช้าวันอาทิตย์อีสเตอร์นั้นหรือยังมีพระศพของพระองค์อยู่ ไม่มีตัวเลือกอื่น 

สมมติว่าร่างของพระองค์ยังคงอยู่ในสุสาน อย่างไรก็ตาม เมื่อเราใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น ความยากก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

เหตุใดผู้นำชาวโรมันและชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็มจึงต้องใช้มาตรการรุนแรงเพื่อหยุดเรื่องราวการฟื้นคืนพระชนม์หากพระศพยังอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ

แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่เราสำรวจชี้ให้เห็นถึงความเป็นปรปักษ์ของผู้มีอำนาจต่อการอ้างสิทธิ์ในการฟื้นคืนชีพ แต่หลุมฝังศพนี้ตั้งอยู่ข้างคำประกาศต่อสาธารณะของเหล่าสาวกเกี่ยวกับการเป็นขึ้นมาจากความตายในกรุงเยรูซาเล็ม! หากพระศพของพระเยซูยังอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ คงเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ที่มีอำนาจทั้งหลายที่จะแห่พระศพของพระคริสต์ต่อหน้าทุกคน สิ่งนี้จะสร้างความเสื่อมเสียให้กับขบวนการที่เพิ่งมาใหม่โดยไม่ต้องจองจำ ทรมาน และพลีชีพให้ผู้ใด

หลุมฝังศพของพระเยซูที่ว่างเปล่า

ลองพิจารณาต่อไป คนหลายพันคนกลับใจเชื่อในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูในกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น สมมติว่าคุณเคยเป็นหนึ่งในฝูงชนที่กำลังฟังเปโตร และสงสัยว่าข่าวสารที่น่าทึ่งของเขาเชื่อได้หรือไม่ (ท้ายที่สุดมันมาพร้อมกับการประหัตประหาร) อย่างน้อยคุณจะไม่ใช้เวลาพักกลางวันเพื่อไปที่หลุมฝังศพและสำรวจตัวเองเพื่อดูว่าพระศพยังอยู่หรือ?

หากพระศพของพระคริสต์ยังคงอยู่ในหลุมฝังศพ ขบวนการนี้จะไม่ได้รับผู้ติดตามในสภาพแวดล้อมที่เป็นศัตรูพร้อมหลักฐานตอบโต้ที่ปรักปรำเช่นนั้น

ดังนั้น พระศพของพระคริสต์ที่เหลืออยู่ในอุโมงค์จึงนำไปสู่ความไร้สาระ มันไม่ได้สมเหตุสมผลเอาเสียเลย 

สาวกขโมยพระศพ? 

แน่นอน มีคำอธิบายอื่นๆ ที่เป็นไปได้สำหรับสุสานว่างเปล่านอกเหนือจากการฟื้นคืนชีพ อย่างไรก็ตาม คำอธิบายใด ๆ เกี่ยวกับการหายไปของพระศพต้องคำนึงถึงรายละเอียดเหล่านี้ด้วย: ตราประทับโรมันเหนือหลุมฝังศพ ทหารลาดตระเวนโรมันเฝ้าหลุมฝังศพ หินก้อนใหญ่ (1-2 ตัน) ปิดทางเข้าสุสาน และสารคงสภาพศพ 40 กิโลกรัมในร่างกาย ลิสต์เหล่านี้ดำเนินต่อไป จักรวาลไม่เอื้อให้เราสำรวจปัจจัยและสถานการณ์ทั้งหมดเพื่ออธิบายเกี่ยวกับการหายไปของพระศพ แต่คำอธิบายที่น่าครุ่นคิดมากที่สุดก็คือพวกสาวกเองต่างหากที่ขโมยพระศพจากหลุมฝังศพ จากนั้นพวกเขาก็ซ่อนมันไว้ที่ไหนสักแห่งและทำให้คนอื่นเข้าใจผิด 

สมมติสถานการณ์นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการโต้แย้งและความยากลำบากบางประการในการอธิบายว่ากลุ่มสาวกที่ท้อแท้และกำลังหนีเอาชีวิตรอดจากการถูกจับกุมสามารถจัดกลุ่มและวางแผนที่จะขโมยพระศพได้อย่างไร สามวันหลังจากที่พวกเขาหลบหนีจากการจับกุม พวกเขาวางแผนและดำเนินการจู่โจมแบบคอมมานโดที่กล้าหาญที่สุด พวกเขาเอาชนะผู้คุมชาวโรมันโดยสิ้นเชิง จากนั้นพวกเขาก็ทำลายผนึก เคลื่อนย้ายหินก้อนใหญ่ และหลบหนีไปพร้อมกับพระศพที่ได้รับการอาบยารักษาศพแล้ว กระทำทั้งหมดนี้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ (เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดยังคงมีชีวิตอยู่และหลังจากนั้นไม่นานกลายเป็นพยานสาธารณะที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ) สมมติว่าพวกเขาจัดการสิ่งนี้ได้สำเร็จแล้วพวกเขาก็ก้าวเข้าสู่เวทีโลกเพื่อเริ่มต้นศรัทธาใหม่จากการหลอกลวงของพวกเขา

แรงจูงใจของสาวก: ความเชื่อของพวกเขาในการฟื้นคืนชีพ

พวกเราหลายคนในปัจจุบันคิดว่าสิ่งที่กระตุ้นเหล่าสาวกคือความจำเป็นในการประกาศความเป็นพี่น้องและความรักในหมู่มนุษย์ แต่ย้อนกลับไปดูเรื่องราวของทั้งลูกาและโยเซฟุส คุณจะสังเกตเห็นว่าประเด็นที่ถกเถียงกันคือ “พวกอัครสาวกกำลังสอนผู้คนและประกาศเรื่องการฟื้นคืนชีพของคนตายของพระเยซู” หัวข้อนี้มีความสำคัญยิ่งในงานเขียนของพวกเขา สังเกตว่าเปาโล อัครสาวกอีกคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ดังว่า: 

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับนั้น ข้าพเจ้าได้มอบให้แก่ท่าน อันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือพระคริสต์ได้สิ้นชีวิตเพื่อบาปของเรา ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์ถูกฝัง ได้ฟื้นคืนชีวิตในวันที่สาม ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์ได้ปรากฏกายแก่เคฟาส และต่อจากนั้นก็ได้ปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสอง หลังจากนั้นพระองค์ปรากฏแก่พี่น้องกว่า 500 คนในคราวเดียวกัน ซึ่งส่วนมากก็ยังมีชีวิตอยู่ แม้จะมีบางคนที่ได้ล่วงลับไปแล้วก็ตาม จากนั้นพระองค์ก็ได้ปรากฏแก่ยากอบและอัครทูตทั้งหมด พระองค์ก็ยังปรากฏแก่ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายด้วย ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนที่เกิดมาไม่ตรงตามกำหนดเวลา ข้าพเจ้าเป็นคนด้อยที่สุดในหมู่อัครทูต และไม่สมควรที่จะให้ผู้ใดเรียกข้าพเจ้าว่าอัครทูต เพราะข้าพเจ้าได้กดขี่ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า 10 ข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นนี้ได้ ก็เพราะพระคุณของพระเจ้า และพระคุณนี้ก็มิได้ไร้ผล แต่ในทางตรงกันข้าม คือข้าพเจ้าทำงานหนักกว่าทุกคนที่กล่าวมานี้ แม้จะไม่ใช่ด้วยตัวข้าพเจ้าเอง แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อข้าพเจ้า 11 ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นข้าพเจ้าหรือเขาเหล่านั้น คือพวกเราประกาศกัน และพวกท่านก็ได้เชื่อแล้ว

12 ในเมื่อเราประกาศว่าพระคริสต์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว พวกท่านบางคนพูดได้อย่างไรว่า ไม่มีการฟื้นคืนชีวิตของคนตาย 13 ถ้าไม่มีการฟื้นคืนชีวิตของคนตายแล้ว ดังนั้นแม้แต่พระคริสต์ก็ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิต 14 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิต การประกาศของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน 15 ยิ่งกว่านั้นจะกลายเป็นว่า เราเป็นพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเรายืนยันเกี่ยวกับพระเจ้าว่า พระองค์ได้ให้พระคริสต์ฟื้นคืนชีวิต แต่ถ้าคนตายไม่ได้ฟื้นคืนชีวิตจริงแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ให้พระคริสต์ฟื้นคืนชีวิต 16 เพราะถ้าคนตายทั้งหลายไม่ได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว พระคริสต์ก็ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิตด้วย 17 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิต ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาป 18 พวกที่ล่วงลับไปขณะที่เชื่อในพระคริสต์ ก็พินาศไปเสียแล้วด้วย 19 ถ้าเราหวังในพระคริสต์แค่ช่วงชีวิตนี้เท่านั้น เราก็เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง

20 แต่บัดนี้พระคริสต์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย พระองค์เป็นผลแรก[a]ของบรรดาผู้ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว 21 ในเมื่อความตายได้เกิดขึ้นโดยมนุษย์คนเดียว การฟื้นคืนชีวิตจากความตายก็เกิดขึ้นจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 มนุษย์ทุกคนตายเพราะความเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด ทุกคนจะได้รับชีวิตมาได้ ก็เพราะความเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ฉันนั้น 23 แต่จะเป็นไปตามลำดับโดยมีพระคริสต์เป็นผลแรก หลังจากนั้นก็คือบรรดาคนของพระคริสต์ เวลาที่พระองค์จะมาอีก 24 แล้วก็ถึงวันสิ้นวาระ เมื่อพระองค์มอบอาณาจักรแด่พระเจ้าผู้เป็นพระบิดา หลังจากที่พระองค์ได้ทำลายพวกที่อยู่ในระดับปกครอง ผู้มีสิทธิอำนาจและอานุภาพทั้งหลาย 25 เพราะว่าพระองค์ต้องครอง จนกระทั่งพระเจ้าปราบศัตรูทั้งหมดให้อยู่ใต้เท้าของพระองค์ 26 ศัตรูท้ายสุดที่ต้องทำลายคือความตาย 27 เพราะว่า “พระเจ้าได้ให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าของพระองค์แล้ว”[b] แต่เมื่อพระองค์กล่าวว่า “ทุกสิ่งถูกปราบให้อยู่ภายใต้พระองค์” ก็เป็นที่ชัดแจ้งว่า เป็นการยกเว้นพระเจ้าผู้ปราบทุกสิ่งให้อยู่ภายใต้พระคริสต์ 28 เมื่อทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระบุตรแล้ว พระบุตรก็จะอยู่ภายใต้พระเจ้าผู้ปราบทุกสิ่งให้อยู่ภายใต้พระองค์ เพื่อว่าพระเจ้าจะได้เป็นใหญ่เหนือสิ่งทั้งปวง

29 ถ้าไม่มีการฟื้นคืนชีวิต แล้วบรรดาผู้ที่รับบัพติศมาเพื่อคนตาย[c]จะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่ฟื้นคืนชีวิตเลย ทำไมผู้คนจึงรับบัพติศมาเพื่อเขา 30 และทำไมเราจึงเสี่ยงอันตรายตลอดเวลาเล่า 31 พี่น้องทั้งหลาย เป็นความจริงที่ข้าพเจ้าเผชิญกับความตายทุกวัน จริงเท่าๆ กับความภูมิใจที่ข้าพเจ้ามีในท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 32 ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัส เนื่องจากเหตุผลของมนุษย์เท่านั้น แล้วข้าพเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร หากว่าคนตายไม่ฟื้นคืนชีวิต “เรามาดื่มกินกันเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตายแล้ว”[d]

1 โครินธ์ 15:3-32 (ส.ศ. 57) 

ใครกันที่จะยอมตายเพื่อสิ่งที่พวกเขารู้ว่าเป็นเรื่องโกหก?

เห็นได้ชัดว่าเหล่าสาวกให้ความสำคัญกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูและการเป็นพยานของพวกเขาเป็นหัวใจสำคัญของข่าวสารของพวกเขา สมมติว่านี่เป็นเท็จ พวกสาวกได้ขโมยพระศพไปจากหลุมฝังศพจริง ๆ ดังนั้นหลักฐานที่ขัดแย้งกับข้อความของพวกเขาจึงไม่สามารถเปิดโปงพวกเขาได้ พวกเขาอาจหลอกโลกได้สำเร็จ แต่ในใจและความคิดของพวกเขาเองย่อมรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาเทศนา เขียน และสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่นั้นเป็นเท็จ ถึงกระนั้นพวกเขาก็สละชีวิต (จริงๆ) เพื่อภารกิจนี้ ทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนั้น – หากพวกเขารู้ว่าพื้นฐานสำหรับเรื่องนี้เป็นเท็จ?

ผู้คนยอมจำนนต่อเหตุเพราะพวกเขาเชื่อในเหตุที่พวกเขาต่อสู้ อีกทางหนึ่ง พวกเขาทำเช่นนั้นเพราะพวกเขาคาดหวังผลประโยชน์บางอย่างจากสาเหตุ ถ้าพวกสาวกขโมยพระศพไปซ่อนไว้ คนทั้งปวงจะรู้ว่าการฟื้นคืนพระชนม์นั้นไม่จริง พิจารณาจากคำพูดของพวกเขาเองว่าเหล่าสาวกเสียอะไรไปบ้างสำหรับการเผยแพร่ข่าวสารของพวกเขา ถามตัวเองว่าคุณจะยอมสละส่วนตัวขนาดนั้นเพื่อการกุศลที่คุณรู้ว่าผิดหรือไม่: 

ราคาที่สาวกต้องจ่าย

เราทนทุกข์ทรมานทุกทางแต่ก็ไม่พ่ายแพ้ แม้จะงุนงงแต่ก็ไม่สิ้นหวัง ถูกกดขี่ข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง ถูกทำให้ล้มลงแต่ก็ไม่ถูกทำลาย 10 เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในตัวเราเสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะได้ปรากฏในตัวเราด้วย 11 ขณะที่เราดำเนินชีวิต เราเสี่ยงกับความตายเพื่อพระเยซูอยู่เสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะได้ปรากฏในร่างกายของเราที่ตายได้ 12 ดังนั้นความตายกำลังปฏิบัติงานในตัวเราอยู่ แต่ชีวิตกำลังปฏิบัติงานในตัวท่านทั้งหลาย

13 เพราะเรามีวิญญาณแห่งความเชื่อเดียวกัน ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงประกาศ”[a] เราก็เชื่อด้วย ดังนั้นเราจึงประกาศด้วย 14 เราทราบว่า พระองค์ผู้ให้พระเยซูฟื้นคืนชีวิตจะให้เราฟื้นคืนชีวิตกับพระเยซูด้วย และนำเราไปเข้าเฝ้าพระองค์พร้อมกับพวกท่าน 15 สิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อว่าขณะที่พระคุณได้แผ่ขยายไปยังคนมากยิ่งขึ้นนั้น ก็จะทำให้มีคนขอบคุณพระเจ้าเพิ่มขึ้นเพื่อพระบารมีของพระเจ้า

16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย แม้ว่าส่วนกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ส่วนลึกในใจของเรากำลังถูกเสริมสร้างใหม่ทุกวัน 17 เพราะความลำบากเล็กน้อยเพียงชั่วขณะหนึ่งนี้ กำลังเตรียมเราให้พร้อมเพื่อบารมีอันเป็นนิรันดร์ซึ่งไม่มีอะไรมาเทียบเทียมได้ 18 ดังนั้นเราจึงไม่จับตาดูสิ่งที่มองเห็น แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นเป็นนิรันดร์

เพราะเราทราบว่า หากกระโจมซึ่งเป็นร่างดินของเราถูกทำลายไป เราก็จะได้เรือนจากพระเจ้าซึ่งเป็นบ้านอันเป็นนิรันดร์ในสวรรค์ ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ เพราะว่าในร่างดินนี้ เรายังครวญคร่ำ ปรารถนาจะสวมเรือนแห่งสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง เพื่อว่าเมื่อสวมใส่แล้วจะได้ไม่มีผู้ใดพบว่าเราเปลือยกาย ขณะที่เรายังอยู่ในกระโจมนี้ เราคร่ำครวญเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะเราต้องการเปลื้องกาย แต่ต้องการสวมกายอันเป็นนิรันดร์ เพื่อว่าชีวิตจะมีชัยชนะเหนือกายซึ่งตายได้ พระเจ้าเป็นผู้เตรียมเราเพื่อการนี้ พระองค์ได้ให้พระวิญญาณแก่เราเป็นหลักประกัน

ฉะนั้น เราจึงรู้สึกมั่นใจเสมอ และทราบว่าตราบที่เราอาศัยในร่างกาย เราอยู่ห่างจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะเราทั้งหลายดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ มิใช่ว่าต้องเห็นด้วยตา พวกเรามั่นใจและคิดว่า อยากจะอยู่ห่างจากร่างกายเพื่อไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้ามากกว่า ฉะนั้นเราจะอยู่ที่นี่ในชีวิตนี้หรือไม่ก็ตาม เราก็ตั้งเป้าหมายเพื่อทำตนให้เป็นที่พอใจของพระองค์ 10 เพราะเราทุกคนจะต้องปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับตอบแทนตามความประพฤติเมื่อครั้งที่มีชีวิตอยู่ในร่างกาย ไม่ว่าดีหรือชั่ว

11 ฉะนั้น เมื่อเรารู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า เราจึงพยายามชักชวนคนให้เชื่อ เราเป็นอย่างไรก็เป็นที่ปรากฏชัดแก่พระเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราเป็นที่ปรากฏชัดในมโนธรรมของท่านด้วย 12 มิใช่ว่าเราจะโอ้อวดตัวเองกับท่านอีก แต่ให้ท่านมีโอกาสได้มีความภูมิใจในตัวเรา เพื่อท่านจะได้สามารถตอบบรรดาผู้ที่โอ้อวดถึงสิ่งที่เห็นเพียงภายนอก แต่ไม่โอ้อวดสิ่งที่อยู่ในจิตใจ 13 ถ้าเราเสียสติ ก็จะเป็นไปเพื่อพระเจ้า แต่ความจริงเรามีสติดี เพื่อผลประโยชน์ของท่าน 14 ด้วยว่าความรักของพระคริสต์ครอบครองเรา เพราะเราสรุปความว่าผู้หนึ่งได้สิ้นชีวิตเพื่อทุกคน ดังนั้นชีวิตเก่าของทุกคนจึงสิ้นไป 15 พระองค์สิ้นชีวิตเพื่อทุกคน ฉะนั้นบรรดาผู้ที่มีชีวิตอยู่ จึงไม่ควรอยู่เพื่อตนเองอีกต่อไป แต่อยู่เพื่อพระองค์ผู้สิ้นชีวิตและได้ฟื้นคืนชีวิตเพื่อพวกเขา

16 ฉะนั้น จากนี้ไปเราจะไม่มีความเห็นเรื่องผู้ใดตามวิสัยโลก แม้ว่าเราเคยมีความเห็นเรื่องพระคริสต์ตามวิสัยโลก แต่บัดนี้เราไม่มีความเห็นเรื่องพระองค์แบบนั้นอีกแล้ว 17 ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนใหม่ สภาพเก่าล่วงไป มีสภาพใหม่เข้ามาแทน 18 สิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า พระองค์ให้เราคืนดีกับพระองค์ได้โดยผ่านพระคริสต์ และโปรดให้เราได้มีงานรับใช้เพื่อนำคนทั้งหลายมาคืนดีกับพระองค์ด้วย 19 คือพระเจ้าให้โลกคืนดีกับพระองค์โดยผ่านพระคริสต์ พระองค์ไม่ถือโทษในการผิดบาปของมนุษย์ และได้มอบคำกล่าวเรื่องการคืนดีกับพระองค์ไว้กับเรา 20 ฉะนั้น พวกเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ เหมือนกับว่าพระเจ้าขอร้องผ่านพวกเรา เราจึงขอพวกท่านในนามของพระคริสต์ว่า จงคืนดีกับพระเจ้าเถิด 21 พระเจ้าได้ให้พระองค์ผู้ไม่เคยกระทำบาปมาเป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาปของเรา เพื่อเราจะได้เป็นผู้มีความชอบธรรมของพระเจ้าในพระคริสต์

ในฐานะที่พวกเราเป็นผู้ร่วมงานของพระเจ้า เราขอร้องท่านด้วยว่า อย่ารับพระคุณของพระเจ้าโดยไร้ประโยชน์ เพราะพระองค์กล่าวว่า

“เมื่อถึงเวลาที่เราจะโปรดปราน

    เราก็ฟังเสียงของเจ้า

และเมื่อถึงวันช่วยให้รอดพ้น

    เราก็ช่วยเจ้า”[b]

เราขอบอกท่านว่า ขณะนี้ถึงเวลาที่จะโปรดปราน ดูเถิด ขณะนี้เป็นวันช่วยให้รอดพ้น

เราไม่วางเครื่องกีดขวางเพื่อขวางทางของผู้ใด เพื่อว่างานรับใช้ของเราจะได้ไม่ถูกตำหนิ ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า เราชี้ให้เห็นว่าเราเป็นอย่างไรในทุกๆ ด้าน ด้วยความเพียรอดทนอย่างยิ่ง ในการทนทุกข์ทรมาน ในความยากลำบาก และความเจ็บปวดรวดร้าว ในการถูกโบย ในการถูกจำจอง ท่ามกลางการจลาจล ในการทำงานหนัก อดหลับอดนอน และหิวโหย ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ความรู้ ความอดทน ความกรุณา ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และความรักจริงใจ ด้วยการประกาศความจริง ด้วยอานุภาพของพระเจ้า โดยใช้อาวุธแห่งความชอบธรรมทั้งมือขวาและมือซ้าย ทั้งเวลาที่มีเกียรติและไร้เกียรติ ทั้งเวลาที่ชื่อเสียงดีและเสื่อมเสีย แม้จะจริงใจแต่ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้หลอกลวง ทั้งในยามที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักดี เป็นเหมือนคนที่สิ้นใจไปแล้ว แต่ดูเถอะเรายังมีชีวิตอยู่ ทั้งถูกลงโทษ แต่ก็ยังไม่ตาย 10 ทั้งโศกเศร้าแต่ยังชื่นชมยินดีเสมอ ทั้งยากไร้แต่ก็ทำให้หลายคนได้มั่งคั่ง ทั้งที่ตัวเปล่าแต่ก็ยังเป็นเจ้าของสารพัดสิ่ง

24 ชาวยิวเฆี่ยนข้าพเจ้า 5 ครั้งๆ ละ 40 ทีหักออกเสีย 1 ที 25 ข้าพเจ้าถูกโบยด้วยไม้เรียว 3 ครั้ง ถูกหินขว้าง 1 ครั้ง เรือแตก 3 ครั้ง ข้าพเจ้าลอยคออยู่กลางทะเลตลอดทั้งวันและทั้งคืน 26 ข้าพเจ้าเดินทางตลอดเวลา ได้รับภัยจากแม่น้ำ จากโจร จากคนชาติเดียวกันเอง จากบรรดาคนนอก เผชิญภัยทั้งในตัวเมืองและในถิ่นทุรกันดาร ภัยในทะเลและภัยจากพี่น้องจอมปลอม 27 ข้าพเจ้าทำงานหนักและทนต่อความลำบาก ไม่ได้หลับนอนหลายคืน ทั้งหิวและกระหาย บ่อยครั้งที่ไม่มีอาหารรับประทาน ทั้งหนาวและเปลือยกาย 28 นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว มีสิ่งที่กดดันข้าพเจ้า คือความห่วงใยในทุกคริสตจักรเป็นประจำทุกวัน 29 ใครบ้างที่อ่อนแอโดยที่ข้าพเจ้าไม่อ่อนแอด้วย ใครบ้างที่ถูกชักนำให้กระทำบาปโดยที่ข้าพเจ้าไม่ขุ่นเคือง

2 โครินธ์ 4:8-6:10; 11:24-29 

ความกล้าหาญของสาวก – พวกเขาต้องเชื่ออย่างนั้น

ยิ่งผมพิจารณาถึงวีรกรรมที่ไม่เสื่อมคลายตลอดหลายทศวรรษแห่งความทุกข์ยากและการประหัตประหารของพวกเขา ผมยิ่งพบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาไม่เชื่อข่าวสารของพวกเขาเองจริงๆ ไม่มีสาวกสักคนเดียวที่รู้สึกขมขื่นและ ‘สารภาพ’ เพื่อหลีกเลี่ยงการประหารชีวิต ไม่มีใครได้รับประโยชน์ทางโลกจากข่าวสารของพวกเขา เช่น ความร่ำรวย อำนาจ และชีวิตที่เรียบง่าย การที่พวกเขาทั้งหมดสามารถรักษาข่าวสารของพวกเขาอย่างแน่วแน่และเปิดเผยต่อสาธารณะเป็นเวลานานนั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อเช่นนั้น พวกเขาถือเป็นความเชื่อมั่นที่ไม่สามารถโค้นล้มได้ แต่ถ้าพวกเขาเชื่อเช่นนั้น พวกเขาคงไม่สามารถขโมยและกำจัดพระศพของพระเยซูได้อย่างแน่นอน นักกฎหมายอาชญากรชื่อดังคนหนึ่งซึ่งสอนนักศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดถึงวิธีการสืบหาจุดอ่อนของพยาน ได้พูดถึงเหล่าสาวกว่า:

“พงศาวดารของสงครามทางทหารแทบไม่มีตัวอย่างของความกล้าหาญ ความอดทน และความกล้าหาญที่ไม่ย่อท้อ พวกเขามีแรงจูงใจที่เป็นไปได้ทุกอย่างที่จะตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนถึงเหตุผลแห่งความเชื่อของพวกเขา และหลักฐานของข้อเท็จจริงและความจริงอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขายืนยัน”

ใบสีเขียว. พ.ศ. 2417 การตรวจสอบคำให้การของผู้เผยแพร่ศาสนาทั้งสี่โดยกฎของหลักฐานที่ใช้บังคับในศาลยุติธรรม หน้า 29 

…เมื่อเปรียบเทียบกับความเงียบของผู้มีอำนาจในประวัติศาสตร์

ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้คือความเงียบของผู้มีอำนาจ – ยิวและโรมัน พยานที่เป็นปฏิปักษ์เหล่านี้ไม่เคยพยายามเล่าเรื่อง ‘จริง’ อย่างจริงจัง หรือแสดงให้เห็นว่าสาวกคิดผิดอย่างไร ดังที่ดร. มอนต์โกเมอรี่กล่าวว่า 

“สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยานถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ซึ่งนำเสนอพร้อมกันในธรรมศาลา – ท่ามกลางความขัดแย้งที่รุนแรง ท่ามกลางผู้ตรวจสอบที่เป็นศัตรูซึ่งแน่นอนว่าจะทำลายคดี … หากข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น”

มอนต์โกเมอรี่ 2518 การให้เหตุผลทางกฎหมายและการขอโทษของคริสเตียน หน้า 88-89
พระเยซูฟื้นคืนชีพ!

เราไม่มีพื้นที่ให้พิจารณาทุกแง่มุมของคำถามนี้ อย่างไรก็ตาม ความกล้าหาญที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเหล่าสาวกและความเงียบงันของผู้มีอำนาจที่เป็นปรปักษ์ในเวลาเดียวกันพูดได้มากมายว่ามีกรณีสำหรับพระคริสต์ที่ฟื้นคืนพระชนม์ นี่ควรค่าแก่การตรวจสอบอย่างจริงจังและรอบคอบ วิธีหนึ่งในการทำเช่นนั้นคือการทำความเข้าใจในบริบทของพระคัมภีร์ จุดเริ่มต้นที่ดี คือสัญญาณของอับราฮัมและโมเสส แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ก่อนพระเยซูกว่าพันปี แต่พวกเขาก็พยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ในเชิงพยากรณ์  อิสยาห์ยังพยากรณ์ถึงการฟื้นคืนชีพเมื่อ 750 ปีก่อนที่จะเกิดขึ้น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *